Thursday, March 19, 2020

พระตรีมูรติ กับ ตรีเอกานุภาพ

ความแตกต่าง พระตรีมูรติ กับ ตรีเอกานุภาพ ของคริสเตียน


ตรีมูรติ
ในสมัยโบราณกาลศาสนาฮินดูหรือศาสนาพราหมณ์ถือกำเนิดขึ้นมาโดยชาวอารยันเมื่อ 1000 ปีก่อนสมัยพุทธกาล โดยชาวฮินดูได้นำลัทธิพระเวทมาผสมผสานกับคติความเชื่อของคนพื้นเมืองอินเดียโบราณ ซึ่งมีความเชื่อกันว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างโลกและได้มีการยกย่องชนชั้น พราหมณ์ เป็นชนชั้นสูงสุดในฐานะที่เป็นผู้ซึ่งสามารถติดต่อกับเทพเจ้าได้นั่นเอง

พระตรีมูรติ (Trimurti) หรือ ทัตตาเตรยะ นั้นถือว่าเป็นเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศาสนาพราหมณ์ ทั้งนี้เนื่องมาจากพระตรีมูรติ เป็นการรวมกันของมหาเทพที่ได้รับการเคารพสูงสุดถึง 3 พระองค์เข้าด้วยกัน ซึ่งก็คือ
พระนามอื่นที่เป็นที่นิยมเรียกกันคือ พรหมธาดา หรือ ประชาบดี (ผู้สร้าง) จตุรพักตร์ (ผู้มีสี่หน้า) ปรเมษฐ์ (ผู้ประเสริฐ) และ
พระโลเกศ (จอมโลก) เป็นต้น พระองค์ทรงเป็นเทพเจ้าแห่ง
การสร้างสรรค์ ความเมตตา เป็นพระผู้สร้างโลกและให้กำเนิด
สิ่งต่าง ๆ ในจักรวาล และให้กำเนิดคัมภีร์พระเวท ทรงได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ พระอาตมภู (ผู้เกิดเอง) ได้ทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นจากความว่างเปล่า โดยเมื่อทรงหว่านพืชลงในน้ำก็บังเกิดเป็นไข่ทองขึ้นและก็ได้ถือกำเนิดเป็นพระพรหม โดยพระพรหมจะทรงมีพระวรกายสีแดง มีสี่พระพักตร์
แปดพระกรรณ และสี่พระกร พระหัตถ์แต่ละข้างถือดอกบัว คัมภีร์ และหม้อน้ำ พระศอสวมลูกประคำ  และถือธนู และทรงมีหงส์เป็นพาหนะ
ยังเชื่อกันว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างบุคคลในวรรณะต่าง ๆ จากอวัยวะแต่ละส่วน ได้แก่ พราหมณ์เกิดจากพระโอษฐ์กษัตริย์ เกิดจากอก, แพศย์เกิดจากส่วนท้อง และศูทรเกิดจากเท้า
ชาวไทยได้รับคติความเชื่อจากศาสนาพรหมณ์-ฮินดู เชื่อว่าพระพรหมเป็นผู้ลิขิต ชะตาชีวิตของบุคคลต่าง ๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย เรียกว่า "พรหมลิขิต" และผู้ใดที่บูชาพระพรหมอยู่เป็นนิจ พระองค์จะประทานพรให้สมหวัง เรียกว่า "พรพรหม"
- พระวิษณุ (พระนารายณ์) เป็น ผู้รักษาโลก (สถิติ) 
พระนามอื่นที่เป็นที่นิยมเรียกกันคือ พระพิษณุหริ,
พระอนันตไศยน ตำนานถือกำเนิดของพระนารายณ์มีอยู่ว่าหลังจากที่พระอิศวรทรงบังเกิดขึ้นจากพระเวทและพระธรรมแล้ว ก็ทรงสร้างผู้ช่วยขึ้น โดยทรงเอาพระหัตถ์ซ้ายลูบ
พระหัตถ์ขวาและก็ได้ปรากฏเป็นองค์พระนารายณ์ขึ้น และไปประทับอยู่ในเกษียรสมุทร ยามใดที่มีเหตุทุรยุคพระนารายณ์ก็มีหน้าที่ไปปราบและระงับทุกข์ โดยรูปโฉมของพระนารายณ์ที่จิตรกรนิยมเขียนก็จะเป็นบุรุษหนุ่มที่มีรูปร่างลักษณะพระวรกายที่สีเปลี่ยนไปตามยุค ฉลองพระองค์ดั่งกษัตริย์ มีมงกุฎทอง อาภรณ์สีเหลือง มี 4 กร ถือสังข์ จักรสุทรรศน์ คทาเกาโมทกี แต่ที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดคือถือ จักร์ สังข์ คทา ส่วนอีกกรจะถือ ดอกบัว หรือ ไม่ถืออะไรเลย โดยจะอยู่ในลักษณะ"ประทานพร" พระองค์มีหน้าที่คุ้มครองแลดูแลรักษาทั้ง 3 โลกตามความเชื่อของชาวฮินดู มีพาหนะคือ พญาครุฑ มีพระชายาคือ พระแม่ลักษมี และพระแม่ภูเทวี
ในลัทธิไวษณพนับถือว่าพระวิษณุทรงเป็นใหญ่เหนือมหาเทพทั้งหลายในตรีมูรติ มีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นในสมัยราชวงศ์คุปตะ ประมาณพุทธศตวรรษที่ 3-6 และกษัตริย์อินเดียในราชวงศ์นี้ส่วนมากจะนับถือลัทธินี้ และทรงรับลัทธินี้ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ และเอาถือว่าการอวตารขององค์พระวิษณุ เป็นหัวใจที่สำคัญของลัทธิภควตา (Bhagavata) ซึ่งเกิดขึ้นมาในสมัยราชวงศ์คุปตะและเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาเป็นลำดับ แม้ว่าราชวงศ์คุปตะจะเสื่อมลงแล้วก็ตาม ลัทธินี้ยังคงอยู่ ชาวฮินดูยังเคารพบูชาปางอวตารของพระวิษณุกันมาก แม้กระทั่งในปัจจุบันนี้ก็ยังมีการนับถืออยู่
การอวตาร แปลว่า “การลงมา” คือการลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพศใดก็ได้หรือ “การเข้าในร่างของมนุษย์” หมายถึง พระวิษณุเสด็จลงมาเกิดบนโลกมนุษย์เป็นภาคเป็นตอนต่าง ๆ กัน เพื่อปราบยุคเข็ญในโลกให้หมดสิ้นไป ถือเป็นปฏิบัติการอันสำคัญยิ่งของพระวิษณุ เมื่อมียุคเข็ญเกิดบนโลกมนุษย์ พระวิษณุก็จะอวตารลงมาช่วยขจัดปัดเป่าเสีย
 - พระศิวะ (พระอิศวร) เป็น ผู้ทำลาย (ประลัย) 


พระนามอื่นที่เป็นที่นิยมเรียกกันคือ พระตรีโลจนะ, พระมหาเทพ, จันทรเศขร, นิลกัณฐ์ โดยตำนานการกำเนิดของพระองค์กล่าวว่า ทรงเป็นโอรสของพระกัศยปกับนางสุรภี แต่บางตำนานก็กล่าวไว้ว่าทรงสร้างพระองค์ขึ้นเองจากพระเวทและพระธรรม
มีรูปกายเป็นชายหนุ่มร่างกำยำ วรรณะขาว  นุ่งห่มหนังเสือเหมือนฤๅษี มีสังวาล์เป็นลูกประคำหรือกะโหลกมนุษย์ มีงูเห่าคล้องพระศอ ไว้พระเกศายาว ซึ่งจะม้วนเป็นจุฑา มีพระจันทร์เป็นปิ่น มีพระแม่คงคาอยู่บนยอดจุฑา ซึ่งพ่นน้ำมาตลอด มีสามพระเนตร โดยทรงจะมีรูปพระจันทร์ครึ่งซีกอยู่เหนือพระเนตรที่สาม ดวงพระเนตรที่สาม กลางพระนลาฏ ซึ่งโดยปกติจะปิดอยู่เสมอ เชื่อว่าหากเปิดขึ้นเมื่อไหร่ ไฟบรรลัยกัลป์จะเผาผลาญล้างโลก ถือว่าเป็นการสิ้นสุดกัปหนึ่ง ก่อนที่พระพรหมจะสร้างโลกขึ้นมาใหม่ พระองค์ทรงสถิตอยู่บนเขาไกรลาศในเทือกเขาหิมาลัย ทรงมีตรีศูลเป็นอาวุธ ถือคทายอดหัวกะโหลก ถือสังข์ ฯลฯ และทรงมีวัวเพศผู้สีขาวล้วนเป็นพาหนะ พระศิวะเป็นเทพผู้ขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้ห่างไกล และทำให้เกิดความดีงามเป็นศิริมงคลเกิดขึ้น ผู้ที่มีความทุกข์ไม่ว่าจะเป็นในทางใด หากบวงสรวงบูชา ขอพรให้พ้นทุกข์ พระศิวะก็จะประทานพรให้ผู้นั้นได้พ้นจากห้วงแห่งความทุกข์


ตรีเอกานุภาพ
 คือภาวะที่เป็นพระเจ้าพระองค์เดียวเป็นเอกภาพ แต่ปรากฏเป็นสามพระบุคคล คือ พระบิดา พระบุตร (เชื่อว่ามาเกิดเป็นพระเยซู) และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ เทววิทยาศาสนาคริสต์ทั้งทางตะวันออกและตะวันตกยอมรับว่า ในพระเจ้าเดียว
มีสามพระบุคคล” สามสิ่งนี้ต่างบุคคลกันแต่มีธรรมชาติเดียวคือความเป็นพระเจ้าที่เท่าเทียมกัน ทางปรัชญายังกล่าวต่อไปว่าพระบุตรหรือพระเยซูมีสองธรรมชาติรวมอยู่ในบุคคลเดียวกัน คือความเป็นพระเจ้าและขณะเดียวกันก็เป็นมนุษย์


พระบิดา หมายถึง พระเจ้าผู้สถิตอยู่ในสวรรค์ ผู้ทรงสร้างโลก สรรพสิ่ง และมนุษย์ และ
ทรงรักมนุษย์มากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เช่น บิดารักบุตร ในพระคริสต์ธรรมใหม่ พระเยซูทรงกล่าวถึง
พระเจ้าในฐานะพระบิดาอยู่บ่อยครั้ง เช่น
ในพวกท่านมีใครบ้างที่จะเอาก้อนหินให้บุตร เมื่อเขาขอขนมปัง หรือให้งูเมื่อบุตรขอปลา เหตุฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนบาป ยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะประทานของดีแก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์” มัทธิว 7:9-11
พระบุตร หมายถึง พระเยซูคริสต์ ผู้เสด็จมาในโลกเพื่อ
ไถ่บาปแก่มนุษย์ผู้หลงผิดให้กลับคืนไปหาพระเจ้าได้ พระเยซูทรงมีธรรมชาติแท้จริงเป็นพระเจ้า แต่เมื่อทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ก็ทรงทนทุกข์ทรมานเช่นมนุษย์ทั้งหลาย ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปแก่มนุษย์และทรงฟื้นขึ้นจากความตายเช่นพระเจ้า
(ผู้อยู่เหนือความตาย)
กำเนิดของพระเยซูในฐานะพระบุตรของพระเจ้ามีปรากฏอยู่ในพระกิตติคุณยอห์น บทที่ 1:14 ว่า
“พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเราบริบูรณ์ด้วยพระคุณและ
ความจริง เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์ คือพระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา  และ ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย พระบุตรองค์เดียวผู้ทรงสถิตอยู่ในพระทรวงของพระบิดา พระองค์ได้ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว
            พระวิญญาณบริสุทธิ์ หมายถึง พระภาคที่สาม ผู้เสด็จมาเป็นผู้แทนของพระเยซูคริสต์ เพื่อสถิตอยู่ในผู้เชื่อ และดลใจให้มนุษย์กลับใจมาประพฤติปฏิบัติตามแนวทางของพระเจ้า ในพระกิตติคุณได้กล่าวถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่หลายตอน เช่น ตอนที่ทูตสวรรค์ได้แจ้งให้มาเรียทราบว่านางจะตั้งครรภ์ด้วยอำนาจของพระเจ้า ใน ลูกา 1:34-35
34 ฝ่ายมารี (มาเรีย) ทูลทูตสวรรค์นั้นว่า เหตุการณ์นั้นจะเป็นไปอย่างไรได้ เพราะข้าพเจ้ายังหาได้ร่วมกับชายไม่
 35 ทูตสวรรค์จึงตอบนางว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาบนเธอ เพราะฤทธิ์เดชของผู้สูงสุดจะปกเธอ เหตุฉะนั้น บุตรที่จะเกิดมานั้นจะได้เรียกว่าวิสุทธิ์ และเรียกว่าพระบุตรของ
พระเจ้า
        หลังจากที่พระเยซูทรงฟื้นคืนพระชนม์และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังคงมีบทบาทอยู่ในโลกนี้เพื่อช่วยเหลือมวลมนุษย์และนำทางมนุษย์ให้ประจักษ์ในอำนาจของพระเจ้า
พระเยซูตรัสว่าจะมีผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งที่เหมือนกันกับพระองค์ ซึ่งปรากฏใน ยอห์น บทที่ 14:16-17
            16 เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้กับพวกท่าน เพื่อจะอยู่กับท่านตลอดไป” 
“17คือพระวิญญาณแห่งความจริงซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะมองไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ พวกท่านรู้จักพระองค์เพราะพระองค์สถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ท่ามกลางท่าน



ทั้ง 3 พระภาคร่วมกันสร้างโลก
คือ ราชกิจของพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคในตรีเอกานุภาพได้ทรงร่วมกันสร้างจักรวาลและโลก
ข้อพระคัมภีร์ที่ยืนยันการทรงสร้างของ ทั้ง 3 พระภาค คือ
ปฐมกาล 1:1-2 กล่าวถึง พระบิดา และ พระวิญญาณบริสุทธิ์
1ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน” 
“2แผ่นดินก็ร้างและว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าทรงปกอยู่เหนือน้ำนั้น
ในยอห์น บทที่ 1 ข้อที่ 3 กล่าวถึงพระบุตร หรือ พระวาทะ ร่วมสร้างโลกกับพระบิดา
พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาโดยพระวาทะ ในบรรดาสิ่งที่เป็นอยู่นั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่เป็นอยู่นอกเหนือพระวาทะ
ทั้ง 3 พระภาคร่วมกันอย่างใกล้ชิดในแผนการแห่งความรอด
1.      พระบิดาทรงเป็นผู้เลือกสรร ใน เอเฟซัส 1:4-5 เพราะพระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ใน
พระคริสต์ ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลกให้บริสุทธิ์ปราศจากที่ติในสายพระเนตรพระองค์ ด้วยความรัก พระองค์ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าที่จะรับเราเป็นบุตรของพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ตามพระประสงค์อันดีของพระองค์
2.      พระบุตรเป็นผู้ไถ่ ใน เอเฟซัส 1:7 ในพระเยซู เราได้รับการไถ่บาปโดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการอภัยโทษบาปตามพระคุณอันอุดมของพระเจ้า
3.    พระวิญญาณทำให้มั่นใจในการรับการไถ่ ใน เอเฟซัส 1:13 และท่านทั้งหลายก็ได้ร่วมอยู่ในพระคริสต์เช่นกัน เมื่อท่านได้ฟังพระวจนะแห่งความจริงคือข่าวประเสริฐแห่งความรอดของท่าน เมื่อท่านเชื่อก็ทรงประทับตราท่านไว้ในพระองค์ด้วยดวงตราคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสัญญาไว้


ตารางเปรียบเทียบตรีมูรติและตรีเอกานุภาพ
ตรีมูรติ
ตรีเอกานุภาพ
ปฏิเสธความเป็นหนึ่งเดียวกันของพระเจ้า
ยอมรับความเป็นหนึ่งเดียวกันของพระเจ้า
พระเจ้าที่สำคัญมี 3 องค์
มีพระเจ้าองค์เดียว แยกเป็น 3 พระภาค
มีภรรยาและลูก
ไม่มีการแต่งงาน
แต่ละพระองค์ทำหน้าที่แตกต่างกัน
แต่ละพระภาคทำหน้าที่แตกต่างกัน
ไม่มีความแน่นอนในเรื่องความเท่าเทียมกัน
แต่ละพระภาคเป็นพระเจ้าเท่าเทียมกัน
พระศิวะและพระวิษณุอวตารลงมาเป็นมนุษย์เพื่อช่วยเหลือมนุษย์
พระเยซูลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อไถ่บาป
พระพรหม เป็น ผู้สร้างโลกขึ้น
ทั้ง 3 พระภาคร่วมกันสร้างโลก
ไม่มีเรื่องแผนการความรอด

ทั้ง 3 พระภาคร่วมกันอย่างใกล้ชิดในแผน
การความรอด
อวตาร คือ เทพมาเข้าสู่ร่างคน หรือ สัตว์ ได้
แต่ความเป็นเทพอยู่บนสวรรค์
พระเยซูทรงมาเกิดเป็น มนุษย์ 100% และ มีความเป็น พระเจ้า 100% ในเวลาเดียวกัน
เทพที่อวตารสามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์ได้
พระเยซูทรงสำแดงหมายสำคัญโดยผ่าน
พระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ได้ทรงใช้อำนาจ
ความเป็นพระเจ้าของพระองค์










อ้างอิง
1.      http://www.saisanya.net/main/index.php/mp3/37-q-a/264-2013-02-20-02-58-57
2.      https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E
5.      หนังสือ ศาสนศาสตร์ระบบ 1 ซึ่งจัดทำโดย พระคริสตธรรมฟ้าใหม่

No comments:

Post a Comment