ในศาสนาพุทธมีความคิดเห็นในเรื่อง
ผี ที่แตกต่างกัน ซึ่งได้ยกมาเพียงบางส่วน คือ
1.
ทัศนคติเกี่ยวกับวิญญาณของท่านพุทธทาสภิกขุ
ท่านพุทธทาสภิกขุ อธิบายไว้ว่า “สิ่งที่เรียกว่า วิญญาณ ของพุทธศาสนา ต้องเป็น
ปฏิจจสมุปปันนธรรมเสมอ คือวิญญาณเกิดดับตามเหตุปัจจัยเฉพาะหน้า เช่น เมื่อตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
สัมผัสอะไรๆ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณและมโนวิญญาณ
ก็เกิดขึ้น วิญญาณประเภทลอยล่องอย่างนั้นจึงไม่มี เพราะฉะนั้นสัมภเวสีอย่างภาษาของคนพวกนั้น จึงไม่ใช่สัมภเวสีในพุทธศาสนา”
ท่านพุทธทาสภิกขุกล่าวว่า ชาวพุทธไม่ควรงมงาย
หลงเชื่อในสิ่งเหลวไหล ผีที่น่ากลัวของมนุษย์ คือ ความกลัว,ความโลภ,ความโกรธ,ความหลง
ซึ่งแฝงเร้นอยู่ภายในกายเรานี้เอง หากสลายมันออกไปจากจิตใจได้ ก็เสมือนไล่ผีออกไปจากตัวเราแล้ว
นั่นเอง.
2.
ทัศนคติเกี่ยวกับวิญญาณตามพระไตรปิฏก
ในศาสนาพุทธ คำว่าวิญญาณ
เป็นคำบาลี-สันสกฤต ใช้หมายถึงพิชาน (consciousness)
คือความรู้แจ้งอารมณ์
พระไตรปิฎกระบุว่าพระพุทธเจ้าทรงจำแนกวิญญาณออกเป็น 6 ประเภท ได้แก่
1. จักขุวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางตา คือรู้รูปด้วยตา หรือการเห็น
2. โสตวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางหู คือรู้เสียงด้วยหู หรือการได้ยิน
3. ฆานวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางจมูก คือรู้กลิ่นด้วยจมูก หรือการได้กลิ่น
4. ชิวหาวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางลิ้น คือรู้รสด้วยลิ้น หรือการรู้รส
5. กายวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางกาย คือรู้โผฏฐัพพะด้วยกาย หรือการรู้สึกกายสัมผัส
หน้าที่ของวิญญาณ (วิญญาณกิจ)
คัมภีร์วิสุทธิมรรคของพระพุทธโฆสะและคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะของพระอนุรุทธาจารย์
กล่าวว่าวิญญาณมีหน้าที่ 14 อย่าง คือ
1. ปฏิสนธิ สืบต่อภพใหม่
2. ภวังคะ เป็นองค์ประกอบของภพ
3. อาวัชชนะ คำนึงถึงอารมณ์ใหม่
4. ทัสสนะ เห็นรูป (ตรงกับจักขุวิญญาณ)
5. สวนะ ได้ยินเสียง (ตรงกับโสตวิญญาณ)
6. ฆายนะ ได้กลิ่น (ตรงกับฆานวิญญาณ)
7. สายนะ รู้รส (ตรงกับชิวหาวิญญาณ)
8. ผุสนะ ถูกต้องโผฏฐัพพะ (ตรงกับกายวิญญาณ)
9. สัมปฏิจฉนะ รับอารมณ์
10. สันตีรณะ พิจารณาอารมณ์
11. โวฏฐัพพนะ ตัดสินอารมณ์
12. ชวนะ เสพอารมณ์
13. ตทาลัมพณะ รับอารมณ์ต่อจากชวนะก่อนจะกลับสู่ภวังค์
14. จุติ เคลื่อนจากภพปัจจุบันเพื่อจะไปสู่ภพหน้า
แนวคิดเรื่องผีในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท
พระพุทธเจ้าตรัสถึงเรื่อง ผี วิญญาณ
ยักษ์และภูตผีปีศาจ ผีเสื้อน้ำ รากษส สมัยนั้นมีภิกษุรูปหนึ่งถูกผีเข้า
ภิกษุอีกรูปหนึ่งมีความประสงค์จะฆ่า จึงทุบตีท่านภิกษุนั้นไม่ถึงแก่มรณภาพ ท่านเกิดความกังวลใจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกหรือหนอ จึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูล
พระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ พระองค์ตรัสว่า ภิกษุ
"เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก"
และพระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงโดยย่อเมื่อมีอันตรายเรื่องอันตราย
10 ประการ หนึ่งในนั้น คือ ข้อ 6. ผีเข้าสิงภิกษุ ดังนั้น
แสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้ามีท่าทีมิได้มีปฏิเสธเรื่องผี
แต่ทรงห้ามเรียนวิชาดิรัจฉาน
แนวคิดเรื่องผีโดยทั่วไปของพุทธศาสนา
พุทธศาสนาก็ยอมรับว่า
มีสัตว์จำพวกหนึ่งที่มีอำนาจลึกลับ สามารถให้คุณให้โทษกับมนุษย์ได้
สัตว์เหล่านี้ เรียกว่า อมนุษย์
แต่พุทธศาสนามีท่าทีต่อสิ่งเหล่านี้ในลักษณะที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับอำนาจลึกลับว่าเป็นสิ่งที่พิเศษ
หรือมีสถานะเหนือกว่ามนุษย์ ถ้ามนุษย์เป็นผู้ประกอบด้วยคุณธรรม
ก็สามารถจะมีสถานะที่เหนือกว่าอมนุษย์เหล่านี้ได้ แต่ในขณะเดียวกัน
ถ้ามนุษย์ไม่มีคุณธรรมก็ตกอยู่ในสถานะที่ ต่ำกว่าอมนุษย์
เพราะพุทธศาสนาใช้เกณฑ์ทางคุณธรรมในการประเมินทั้งมนุษย์และอมนุษย์
อมนุษย์ ได้แก่
· เปรต แปลว่า
ผู้ล่วงลับ ในทางศาสนาพุทธหมายถึง อมนุษย์พวกหนึ่งที่เกิดในเปรตวิสัยซึ่งเป็น
๑ ใน ๔ อบายภูมิ แบ่งได้ 4 ประเภท
o ปรทัตตุปชีวิกเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้
จากอาหารที่มีมนุษย์ให้ เช่น การเซ่นไหว้ เป็นต้น
o ขุปปีปาสิกเปรต คือ เปรตที่อดอยาก
ทุกข์จากความหิวโหยอยู่เป็นนิจ
o นิชฌามตัณหิกเปรต คือ
เปรตที่ถูกไฟเผาให้เร่าร้อนอยู่เสมอ
o กาลกัญจิกเปรต คือ เปรตในจำพวกอสุรกาย
· โอปปาติกะ แปลว่า
ผู้เกิดผุดขึ้น คือผุดขึ้นเป็นตัวเป็นตนและโตเต็มที่ในทันที
เป็นการเกิดที่ไม่ต้องอาศัย
พ่อแม่ อาศัยแต่อดีตกรรมอย่างเดียว
เกิดแล้วก็สมบูรณ์เต็มตัว ไม่เจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนสัตว์โลกทั่วไป
เวลาตายก็หายวับไปไม่มีซากร่างเหลือไว้เหมือนคนหรือสัตว์
· มาร
มาจากรากศัพท์ มรฺ แปลว่า "ตาย" มารจึงแปลว่า "ผู้ทำให้ตาย" หมายถึง
เทวดาจำพวกหนึ่ง มีใจบาปหยาบช้าคอยกีดกันไม่ให้ทำบุญ
· อสูร
คือเทวดาจำพวกหนึ่ง มีนิสัยดุร้าย เป็นปฏิปักษ์กับเทวดาพวกอื่นซึ่งอาศัยบนสวรรค์
· ยักษ์ และเทวดาชั้นต่ำ
สัตว์เหล่านี้ เรียกว่า
อมนุษย์ เมื่อวิเคราะห์จากลักษณะของอมนุษย์ดังกล่าว ตรงกับคำว่า
ผีในสังคมไทย ผีและเทวดาเป็นชีวิตอีกประเภทหนึ่ง
ซึ่งมีอยู่จริง ๆ เช่นเดียวกับมนุษย์และสัตว์ ผีสาง นางไม้ เทวดา พรหม
ตลอดทั้งพวกเปรต และพวกอบายภูมิ อื่น ๆ ทั้งหมด ทางพระพุทธศาสนารวมเรียกว่า
พวกโอปปาติกะ ผู้ที่ตายไปเกิดเป็นโอปปาติกะนั้น
ถือว่าเป็นชีวิตที่เกิดใหม่ ไม่ใช่เป็นชีวิตที่ยังไม่เกิด ความจริงเขาเกิดแล้ว
คือเกิดเป็นโอปปาติกะ
โอปปาติกะทั้งหลายก็มีรูปร่างอวัยวะต่าง ๆ
ซึ่งเมื่อมองดูจากภายนอกจะเห็นว่ามีครบทุกอย่าง คือ มีมือ มีขา มีตา หู จมูก ลิ้น
กายและใจ ซึ่งทำหน้าที่ได้อย่างเดียวกับมนุษย์ และสามารถรับรู้อะไรได้อย่างมนุษย์
เช่น มนุษย์เห็นอะไร ซึ่งสิ่งที่เห็นนั้นมีรูปร่างลักษณะอย่างไร
พวกโอปปาติกะก็เห็นตรงกับที่มนุษย์เห็น
ในเรื่องเสียงกลิ่นรสและสัมผัส
ก็สามารถบอกได้อย่างเดียวกับมนุษย์ และสวมเสื้อผ้าแต่งตัว
แต่บางพวกไม่สวมเสื้อผ้าก็มี
ทั้งนี้สุดแล้วแต่ใครจะทำกรรมมาอย่างไร ชีวิตของโอปปาติกะเป็นชีวิตอีกประเภทหนึ่งซึ่งมีอยู่จริง
ๆ สามารถจะรู้อะไร ๆ ได้เหมือนกับมนุษย์ และที่สำคัญก็คือ
สามารถติดต่อกับมนุษย์เราได้พูดจากันได้
เห็นกันได้ถ้าเราได้ฌานขั้นสูงก็สามารถจะเข้าสมาธิไปติดต่อกับเขาได้
ทัศนะคติเรื่องผี และ
วิญญาณชั่วในคริสตศาสนา
การมีอยู่ของพวกผีมารหรือวิญญาณชั่วในพระวจนะของพระเจ้า โดยเฉพาะใน
พันธสัญญาใหม่มีกล่าวถึงประมาณ 80 ครั้ง
1.
ถูกรับรองในพันธสัญญาเดิม
-
เลวีนิติ 20: 6
ผู้ใดใฝ่หาคนทรงหรือพ่อมดแม่มด เพื่อเล่นชู้กับพวกเขา เราจะตั้งหน้าต่อสู้
ผู้นั้น และไล่เขาออกจากท่ามกลางชนชาติของเขา
-
ฉธบ. 32:17 เขาบูชาพวกปีศาจซึ่งไม่ใช่พระเจ้าบูชาพระซึ่งไม่รู้จักมาก่อน
บูชาพระใหม่ๆ ซึ่งเพิ่งจะเกิดขึ้น ซึ่งบรรพบุรุษของท่านไม่เกรงกลัว
2.
ถูกรับรองโดยพระเยซูคริสต์เจ้า
-
มัทธิว
12:27 และถ้าเราขับผีออกโดยเบเอลเซบูล
ลูกน้องของท่านทั้งหลายขับมันออก
โดยอำนาจของใครเล่า? เพราะเหตุนี้ลูกน้องของท่านเองจะเป็นผู้กล่าวโทษพวกท่าน
-
มาระโก 16:17 มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะเกิดขึ้นที่นั้น
คือพวกเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา พวกเขาจะพูดภาษาแปลกๆ
3.
ถูกรับรองโดยเหล่าผู้เขียนพันธสัญญาใหม่
-
1 โครินธ์10:20-21 ไม่ใช่ ข้าพเจ้าหมายความว่าเครื่องบูชาที่พวกเขาถวายนั้น
เขาถวายบูชาแก่พวกผี
ไม่ใช่ถวายแด่พระเจ้าข้าพเจ้าไม่ต้องการให้พวกท่านมีส่วนร่วมกับพวกผี ท่านจะดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าและจากถ้วยของพวกผีด้วยไม่ได้
จะรับประทานที่โต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า และที่โต๊ะของพวกผีด้วยก็ไม่ได้
1.
พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตฝ่ายวิญญาณ ปรากฏใน ลูกา
9:38-42
2.
พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจำนวนมากมาย ปรากฏใน
-
มาระโก 5:9 แล้วพระองค์ตรัสถามมันว่า
“เจ้าชื่ออะไร?” มันตอบว่า “ ข้าชื่อกองพล เพราะว่าพวกเรามีหลายตนด้วยกัน”
หลายคนเชื่อว่าพวกฑูตสวรรค์ที่ล้มลงถูกแบ่งเป็น
2 ชนชั้นคือ
1. พวกที่มีอิสระ (ผีมาร)
2. พวกที่ถูกขังไว้ ใน 2 เปโตร 2:4 เพราะว่าถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงยกเว้นพวกทูตสวรรค์
ที่ได้ทำบาปนั้น แต่ได้ทรงผลักพวกเขาลงไปในอเวจี
และได้ล่ามพวกเขาด้วยโซ่แห่งความมืดมิด
- ในกิจการ 23:8-9 กล่าวว่า พวกวิญญาณชั่วแตกต่างจากพวกฑูตสวรรค์ที่ล้มลง
- ในกิจการ 23:8-9 กล่าวว่า พวกวิญญาณชั่วแตกต่างจากพวกฑูตสวรรค์ที่ล้มลง
ลักษณะเฉพาะของพวกผีมาร
1.
พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นวิญญาณ
-
ลูกา 8:2 พร้อมกับผู้หญิงบางคนที่ได้รับการรักษาให้พ้นจากวิญญาณชั่วและโรคภัยต่าง
ๆ
ได้แก่มารีย์ที่เรียกกันว่าชาวมักดาลา
คนที่มีผีเจ็ดตนออกจากตัว
2.
พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นบุคคล
- มาระโก 5:10 มันจึงอ้อนวอนพระองค์อย่างมาก ที่จะไม่ให้ขับไล่พวกมันออกจากเขตแดนเมืองนั้น
3.
พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่เฉลียวฉลาด
3.1
พวกมันรู้จักพระเยซู
-
มาระโก 1:24 มันร้องอึงว่า
“พระเยซูชาวนาซาเร็ธ
ท่านมายุ่งกับเราทำไม ท่านมาทำลาย
พวกเราหรือ
เรารู้ว่าท่านเป็นผู้ใด ท่านคือองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า”
3.2
พวกมันอ้อนวอนพระเยซู
-
ลูกา 8:31 ผีนั้นจึงอ้อนวอนขอพระองค์มิให้สั่งให้มันกลับไปยังนรกขุมลึก
3.3
พวกมันเชื่อฟังคำสั่งของพระเยซู
-
มัทธิว 8:16 พอค่ำลง เขาพาคนผีเข้าสิงเป็นอันมากมาหาพระองค์ พระองค์ก็ทรงขับผีออกด้วยพระดำรัส
และบรรดาคนเจ็บป่วยทั้งหลายนั้น พระองค์ก็ได้ทรงรักษาให้หาย
3.4
พวกมันเข้าใจอนาคตและปลายทางของพวกมัน
-
มัทธิว 8:29
ดูเถิด เขาร้องตะโกนว่า
“ท่านผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้า ท่านจะมายุ่งกับ
พวกเราทำไม จะมาทรมานพวกเราก่อนเวลาหรือ”
4.
พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีศีลธรรม
ผีมารทั้งหลายมีลักษณะเฉพาะด้านศีลธรรม ทว่าเป็นศีลธรรม ที่ชั่ว
4.1
พวกมันดุร้ายและมุ่งร้าย (พวกผีมารมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม)
-
มัทธิว
8:28 ครั้นพระองค์ทรงข้ามฟากไปถึงแดนกาดารา
แล้วมีคนสองคนออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ มาพบพระองค์ เขาผีเข้าสิงดุร้ายนัก
จนไม่มีผู้ใดอาจเดินทางนั้นได้
4.2
พวกมันถ่อยและร้ายกาจ (พวกผีมารมีความประพฤติที่ต่ำทราม)
-
ลูกา 9:39 และดูเถิด ผีมักจะเข้าสิงเขา เด็กก็โห่ร้องขึ้นทันที
ผีทำให้เด็กนั้นชักดิ้น
น้ำลายฟูมปาก
ทำให้ตัวฟกช้ำไม่ใคร่ออกจากเขาเลย
4.3
พวกมัน “โสโครก”
-
มาระโก 3:11 และผีโสโครกที่เข้าสิงอยู่ในคนหลายคน
เมื่อได้เห็นพระองค์ก็ได้หมอบลงกราบพระองค์แล้วร้องอึงว่า “พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า”
5.
พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใต้บังคับบัญชา
-
พวกผีมารอยู่ใต้บังคับของซาตาน ใน มัทธิว 12:24 แต่พวกฟาริสีเมื่อได้ยินดังนั้นก็พูดกันว่า
“ผู้นี้ขับผีออกได้ก็เพราะใช้อำนาจเบเอลเซบูลผู้เป็นนายผีนั้น”
-
คำว่า “พวกผีมาร” (devils) เป็นคำแปลที่ถูกต้องกว่า คำว่า “พวกปีศาจ” (demons) เพราะพวกมันเป็นตัวแทนของซาตานและทำกิจชองซาตานหรือพญามาร
ทำให้มันมีคุณลักษณะของ
“การอยู่ทุกหนทุกแห่งอย่างชัดเจน”
6.
พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีฤทธิ์มาก
พวกมันสามารถทำให้เกิด:
6.1
ความผิดปกติทางร่างกาย
-
เป็นใบ้ มัทธิว 9:32-33 ขณะเมื่อพระเยซูและสานุศิษย์กำลังเสด็จออกไปจากที่นั่น
ก็มีผู้พาคนใบ้คนหนึ่งที่มีผีเข้าสิงอยู่มาหาพระองค์
เมื่อทรงขับผีออกแล้วคนใบ้นั้นก็พูดได้
หมู่คนก็อัศจรรย์ใจพูดกันว่า
“ไม่เคยเห็นมีคนเช่นนี้ในอิสราเอลเลย”
-
ตาบอด มัทธิว
12:22 ขณะนั้นเขาพาคนหนึ่งมีผีเข้าสิงอยู่
ทั้งตาบอดและเป็นใบ้
มาหาพระองค์
พระองค์ทรงรักษาให้หาย คนใบ้นั้นจึงพูดจึงเห็น
-
บาดเจ็บ มาระโก 9:18 เด็กจะอยู่ที่ไหนๆ พอผีสำแดงมันก็ทำให้ล้มชักดิ้นไป
มีอาการน้ำลายฟูมปากและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วตัวแข็ง
ข้าพเจ้าได้ขอเหล่าสาวกของท่านให้ขับผีนั้น
ออกเสีย
แต่เขาขับให้ออกไม่ได้”
-
พิการ ลูกา 13:11 และมีหญิงคนหนึ่งซึ่งมีผีเข้าสิงทำให้เป็นโรคสิบแปดปีมาแล้ว
หลังโกง ยืดตัวขึ้นไม่ได้เลย
6.2
ความผิดปกติทางจิต
-
วิกลจริต ลูกา 8:27 เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นบกแล้ว
มีชายคนหนึ่งจากเมืองนั้นมาพบพระองค์ คนนั้นมีผีเข้าสิง และนานแล้วมิได้สวมเสื้อมิได้อยู่เรือน
แต่อยู่ตามอุโมงค์ฝังศพ
-
ฆ่าตัวตาย มาระโก 9:22 และผีก็ทำให้เด็กตกในไฟ และในน้ำบ่อยๆ หมายจะฆ่าเสียให้ตาย
แต่ถ้าท่านสามารถช่วยได้ ขอท่านโปรดกรุณาเถิด
กิจกรรมต่าง ๆ ของพวกผีมาร
1.
พวกมันดึงความสนใจของมนุษย์ไป เพื่อไม่ให้เขาถึงความรอด
ซาตานใช้ผีมารเหล่านี้ในกิจของมันในการดึงมนุษย์ให้ออกห่างจากพระวจนะของพระเจ้า
การชักจูงแบบผีมารหลากหลายวิธีถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์ เช่น
1.1 การเป็นคนทรง
เป็นการเรียกคนตายขึ้นมาโดยใช้ “สื่อกลาง” นั่นคือ ผู้ที่เป็นคนทรง
ใน
-
เลวีนิติ 19:31 อย่าไปหาคนทรงหรือพ่อมดแม่มด อย่าเที่ยวค้นหาให้ตนมลทินไป
เพราะเขาเลย เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า
1.2
การใช้เวทมนตร์คาถา
เป็นศิลป์แห่งการใช้วิธีการที่เหนือธรรมชาติ (แบบผีมาร) ใน
-
อพยพ 8:7 ฝ่ายพวกนักแสดงกลก็ทำตามศิลปอันลึกลับของเขา
ให้มีฝูงกบขึ้นมาบน
แผ่นดินอียิปต์เหมือนกัน
2.
พวกมันเข้าสิงมนุษย์และสัตว์ต่าง ๆ
-
มาระโก 5:8
ที่พูดเช่นนี้ เพราะพระองค์ได้ตรัสแก่มันว่า
“อ้ายผีโสโครก จงออกมาจาก
คนนั้นเถิด”
-
มาระโก 5:12-13 ผีเหล่านั้นก็อ้อนวอนพระองค์ว่า
“ขอโปรดให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเข้าในสุกรเหล่านี้เถิด” พระองค์ก็ทรงอนุญาต แล้วผีโสโครกนั้นจึงออกไปเข้าสิงอยู่ในสุกร
สุกรทั้งฝูงประมาณสองพันตัวก็วิ่งกระโดด
3.
พวกมันสามารถถูกพระเจ้าใช้เพื่อบรรลุพระประสงค์ของพระองค์ได้
-
1 พกษ. 22:23 ฉะนั้น
ดูสิ พระยาห์เวห์ทรงใส่วิญญาณมุสาในปากของผู้เผยพระวจนะทั้งหมดนี้ของฝ่าพระบาท
พระยาห์เวห์ได้ตรัสเรื่องร้ายเกี่ยวกับฝ่าพระบาท”
4.
พวกมันนำมาซึ่งความบอบช้ำฝ่ายร่างกายและฝ่ายจิตใจแก่มนุษย์
-
มาระโก 5:5 เขาคลั่งร้องอื้ออึงและเอาหินเชือดเนื้อตัวเองอยู่เสมอตามอุโมงค์ฝังศพและ
บนภูเขาทั้งกลางคืนและกลางวัน
5.
พวกมันก่อให้เกิดความไม่บริสุทธิ์ทางศีลธรรม
-
ลูกา 8:27 เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นบกแล้ว
มีชายคนหนึ่งจากเมืองนั้นมาพบพระองค์ คนนั้นมีผีเข้าสิง และนานแล้วมิได้สวมเสื้อมิได้อยู่เรือน
แต่อยู่ตามอุโมงค์ฝังศพ
6.
พวกมันกระทำกิจแห่งความบิดเบือนฝ่ายวิญญาณ
อิทธิพลของปีศาจอยู่เบื้องหลังสิ่งต่อไปนี้:
6.1 การลดความน่าเชื่อถือของข่าวประเสริฐ
-
กิจการ 16:17 หญิงนั้นตามเปาโลกับพวกเราไป ร้องว่า “คนเหล่านี้เป็นทาสของพระเจ้าสูงสุด
มากล่าวประกาศทางรอดแก่ท่านทั้งหลาย”
ซาตานใช้หญิงนี้ให้รับรองพันธกิจของเปาโลและสิลาสเพื่อลดความน่าเชื่อถือของข่าวสาร
ที่ช่วยจิตวิญญาณให้รอดของพวกเขา
6.2
การผุดขึ้นของหลักคำสอนและลัทธิเทียมเท็จต่าง ๆ
-
1 ทิโมธี 4:1-2 พระวิญญาณได้ตรัสไว้อย่างชัดแจ้งว่า
ต่อไปภายหน้าจะมีบางคนละทิ้งความเชื่อ โดยหันไปเชื่อฟังวิญญาณที่ล่อลวง
และฟังคำสอนของพวกผีปีศาจ ซึ่งมาจากการหน้าซื่อใจคดของคนที่โกหก
คือคนที่จิตสำนึกเป็นทาสของมาร
6.3
การสำแดงการอัศจรรย์ต่าง ๆ มากมาย
-
วิวรณ์ 16:13-14 และข้าพเจ้าเห็นผีโสโครกสามตนรูปร่างคล้ายกบ
ออกมาจากปากพญานาค ออกจากปากสัตว์ร้ายนั้น และออกจากปากคนที่ปลอมตัวเป็นผู้เผยพระวจนะ
ด้วยว่าผีเหล่านั้นเป็นผีร้ายกระทำหมายสำคัญ มันออกไปหากษัตริย์ทั้งปวงทั่วพิภพ
เพื่อให้บรรดากษัตริย์เหล่านั้นร่วมกันทำสงคราม ในวันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าผู้ทรง
ฤทธานุภาพสูงสุด
6.4
การกราบไหว้รูปเคารพทั้งปวง
-
1 โครินธ์ 10:20-21 ไม่ใช่ ข้าพเจ้าหมายความว่าเครื่องบูชาที่พวกเขาถวายนั้น
เขาถวายบูชาแก่พวกผี ไม่ใช่ถวายแด่พระเจ้า
ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้พวกท่านมีส่วนร่วมกับพวกผี
ท่านจะดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าและจากถ้วยของพวกผีด้วยไม่ได้
จะรับประทานที่โต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า
และที่โต๊ะของพวกผีด้วยก็ไม่ได้
คริสเตียน
|
พุทธ
|
v ทูตสวรรค์ที่ล้มลง
ก่อกบฏต่อพระเจ้า กันมนุษย์ไม่ให้ได้รับความรอด
|
v มารคือ เทวดาจำพวกหนึ่ง
มีใจบาปหยาบช้า คอยกีดกันไม่ให้ทำบุญ
|
v เชื่อว่ามีฑูตสววรค์
และสมุนของมารซึ่งก็คือทูตสวรรค์ที่ร่วมกันกบฏต่อพระเจ้า
|
v เชื่อว่าเทวดามีทั้งดีและเลว
|
´ เชื่อว่ามีแต่ซาตานและสมุนของมัน
|
´ เชื่อว่ามีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า
อมนุษย์
|
´ คริสเตียนที่เต็มด้วยพระวิญญาณ
ผีเข้าสิงไม่ได้แน่นอน
(จากหนังสือ เพิ่มความรู้โดย
จอห์น
เดวิส)
|
´ พุทธต่อให้เป็นถึงภิกษุ
ก็ยังโดนผีเข้าได้
|
´ ซาตาน มาเพื่อ ลัก
ฆ่า และ ทำลาย มันไม่เคยทำคุณให้แก่มนุษย์ เพราะมัน
ทำทุกวิถีทางให้มนุษย์พินาศ
|
´ อมนุษย์ สามารถให้คุณ+ให้โทษกับมนุษย์ได้
|
อ้างอิง
1.
หนังสือศาสนศาสตร์ระบบ 2 โดย พระคริสตธรรมฟ้าใหม่
2.
หนังสือเพิ่มความรู้ โดย จอห์น เดวิส
5.
http://www.mcu.ac.th/userfiles/file/thesis/Buddhist-Studies/2555_Buddhist-Studies/55-02-2-048.pdf