Thursday, April 2, 2020

ประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย




บทที่ ๑
ความเป็นมาก่อนเป็นศรีสัชนาลัย


เมืองศรีสัชนาลัยที่รู้จักกันปัจจุบัน  ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำยมฟากตะวันตก  ที่บริเวณแก่งหลวงในเขตอำเภอศรีสัชนาลัย  จังหวัดสุโขทัย  ลักษณะของตัวเมืองโบราณมีผังอยุ่ในรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าวางตัวไปตามลำน้ำยม  ด้านทิศตะวันตกของตัวเมืองเป็นเทือกเขาพระศรี  ที่วางตัวทอดยาวมาทางทิศตะวันออกต่อกับเทือกเขาพนมเพลิงซึ่งตั้งอยู่   ภายในกำแพงเมือง  ทั้งภายในเมืองและนอกเมืองจะมีโบราณสถานกระจายอยู่โดยทั่วไป  จากเอกสารตำนานพงศาวดารมีคำเรียกชื่อของเมืองต่างกันไปหลายๆชื่อเช่น  เชลียง  เฉลียง  เชียงชื่น       ศรีสัชนาลัย  และสวรรคโลกแต่เดิมเชื่อกันไปว่าเป็นชื่อของเมืองคนละเมืองกัน  ต่อมาเมื่อได้มีการศึกษาค้นคว้ามากขึ้น  ก็สรุปได้ความว่า  เป็นเมืองเดียวกัน  และมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามพัฒนาการของเมืองในแต่ละยุคสมัย     

ประวัติการก่อสร้างเมืองจะมีความเป็นมาอย่างไรไม่ปรากฏแน่ชัด  แต่กล่าวปรากฏอยู่ในพงศาวดารเหนือกล่าวถึงตำนานการสร้างเมืองสวรรคโลกไว้ว่า  ฤๅษี๒องค์  คือ  พระฤาษีสัชนาไลยและพระฤๅษีสิทธิมงคล   ได้มอบให้บาธรรมราชสร้างเมืองสวรรคโลกขึ้นในพ.ศ.๓๐๖แต่จากศึกษาค้นคว้าทำให้ได้ข้อยุติในปัจจุบันนี้แล้วว่าเป็นเมืองที่มีอยู่มาก่อนตั้งเมืองสุโขทัยเป็นราชธานีโดยพัฒนาการแรกเริ่มได้พบหลักฐานว่า  แรกทีเดียวมีชุมชนเก่าแก่หรีอเมืองโบราณขนาดเล็กชื่อว่า  เชลียง   อยู่แถบที่ตั้งวัดพระศรีมหาธาตุเชลียง   และวัดเจ้าจันทร์ทางทิศตะวันออกของเมืองศรีสัชนาลัยในปัจจุบันไม่มากนัก   เมืองเชลียงดังกล่าวนี้อาจจะกล่าวได้ว่า   เป็นชุมชนโบราณที่เก่าแก่ที่สุดในดินแดนลุ่มแม่น้ำยม   และมีอายุใกล้เคียงกับการสร้างเมืองหริภุญไชย(มานิต   วัลลิโภดม,๒๕๒๑)   ประมาณว่าควรจะมีอายุมาแล้วตั้งแต่พุทธศตวรรษที่๑๖-๑๗  นับเป็นชุมชนก่อนสุโขทัย   และมีความสำคัญต่อพัฒนาการของสุโขทัยอย่างแนบแน่น



การกำเนิดขึ้นของเมืองเชลียงนี้   ควรมีส่วนสัมพันธ์กับแคว้นละโว้หรือเมืองลพบุรีมาตั้งแต่ต้น   เพราะบริเวณพื้นที่ดังกล่าวนี้เป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญ   ที่ติดต่อไปยังดินแดนตอนเหนือในเขตแคว้นล้านนา   และบ้านเมืองทางลุ่มแม่น้าโขงตอนบนขึ้นไปทางหนึ่งกับบ้านเมืองทางทิศตะวันออกในแถบลุ่มน้าน่าน   และฝั่งตะวันออกของแม่น้าโขงในกลุ่มเมืองหลวงพระบางอีกทางหนึ่ง   ซึ่งเส้นทางดังกล่าวนับเป็นเส้นทางการค้าที่ทางละโว้ใช้ส่งและแรกเปลี่ยนสินค้ากับจีน   ด้วยเหตุนี้แคว้นเชลียงและบ้านเมืองใกล้เคียงโดยรอบ   จึงมีพัฒนาการเติบใหญ่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว   ดังปรากฏหลักฐานในจดหมายเหตุของจีนสมัยราชวงศ์สุ้น (พ.ศ.๑๕๐๓-๑๖๗๐)

กล่าวถึงชื่อแคว้น   เฉิงเหลียง   ว่าอยู่เหนือละโว้   (หลอหู)  ขึ้นไปรวมทั้งเอกสารตำนานทางเหนือที่รับรู้ในชื่อเมือง เชลียง   ชะเลียงหลวง   หรือ  เฉลี่ยงหลวงบ้าง แต่สำหรับกฎหมายลักษณะลักพาในสมัยอยุธยาสมัยหลังจะเรียกว่าเมืองเฉลียง เหนือขึ้นไปจากเมืองสุโขทัยราว 3 กิโลเมตร คือ ศรีสัชนาลัยหรือเชลียง  เชียงชื่น   หรือสวรรค เมืองหลายชื่อนี้ตั้งอยู่บนที่ราบริมฝั่งลำน้ำยมอดีตที่เคยเป็นที่ตั้งของชุมชนโบราณมาช้านาน   มีประจักษ์พยานจากหลุมขุดค้นที่วัดชมชื่น   ได้ขวานหินขัดและเครื่องมือสำริดสมัยก่อนประวัติศาสตร์   และโครงกระดูกมนุษย์โบราณสมัยทวารวดี  เป็นต้น

ชุมชนสำคัญในระยะแรกของสมัยราชธานี   อยู่บริเวณวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง    ต่อมาได้ขยายเมืองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือโดยคร่อมแนวสันเขาซึ่งพาดผ่านลำน้ำยมตรงแก่งหลวง   พื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้าของเมือง  มีด้านหนึ่งเลียบเลาะแนวลำน้ำ  ร่องรอยของการจัดระเบียบเด่นชัด    ดังตำแหน่งจากเชิงเขาวัดช้างล้อม  วัดเจดีย์เจ็ดแถว  วัดสวนแก้วอุทยานใหญ่และวัดนางพญา  ตามลำดับต่อเนื่องเป็นแกนตะวันตกเฉียงใต้ - ตะวันออกเฉียงเหนือ   วัดเหล่านี้ก็เช่นเดียวกับวัดในราชธานี   ซึ่งมักไม่ปรากฏหลักฐานการสร้างเป็นลายลักษณ์อักษร   การพิจารณาทางด้านรูปแบบของช่างจึงจำเป็นสำหรับการสันนิษฐานกำหนดอายุ  นอกกำแพงเมืองออกไปมีวัดโบราณอีกจำนวนมาก    โดยเฉพาะทางทิศตะวันตกเฉียงใต้   ซึ่งรวมถึงกลุ่มโบราณสถานที่อยู่บนเขา   และแหล่งเตาเผาเครื่องสังคโลก   ซึ่งพบมากกว่า ๒๐๐ เตาทางแถบลำน้ำยม





บทที่ ๒
โครงการอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย

ในฐานะที่กรมศิลปากรเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบ ในการดูแลสงวนรักษาโบราณวัตถุสถานอันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ จึงได้จัดตั้งโครงการอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อการอนุรักษ์ทำนุบำรุง และสร้างสรรค์มรดกทางศิลปวัฒนธรรมของศรีสัชนาลัยไว้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์และอารยธรรมของชาติสืบไป ตลอดจนการปรับปรุงให้เกิดบรรยากาศทางประวัติศาสตร์เพื่อการศึกษาและการท่องเที่ยว และในปี พ.ศ. 2525 อันเป็นปีแรกของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 5 (2525-2529) โครงการอุทยานประวัติ-ศาสตร์ศรีสัชนาลัย ได้รับการบรรจุให้อยู่ในแผนพัฒนาดังกล่าว


แต่เดิมโบราณสถานในเมืองศรีสัชนาลัยได้รับกาบูรณะมาแล้ว  2 ครั้งด้วยกันคือ

ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2498-2500
ระหว่างปี พ.ศ. 2498-2499 รัฐบาลได้จัดสรรเงินรายได้จากกองสลากกิน   แบ่งรัฐบาลปีละ    200,000 บาท (สองแสนบาท ถ้วน) สำหรับการขุดแต่งและบูรณะโบราณสถานที่สุโขทัย กำแพงเพชร และศรีสัชนาลัย สำหรับงานขุดแต่งและบูรณะโบรณสถานศรีสัชนาลัยได้ดำเนินการแล้วเสร็จเพียง 2 แห่งคือ ที่วัดช้างล้อมและวัดเจดีย์เจ็ดแถว โดยได้ดำเนินการบูรณะวิหาร เจดีย์ประธาน เจดีย์รายทั้งหมดและกำแพงวัดเป็นบางส่วน ในปี พ.ศ. 2500 ซึ่งเป็นปีฉลองครบรอบ 25 พุทธศตวรรษ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณจำนวนหนึ่งสำหรับบูรณะวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ที่สำคัญ มีคุณค่าทางด้านประวัติ - ศาสตร์และศิลปะอย่างสูงของเมืองศรีสัชนาลัย




ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2508-2512
หลังจากปี พ.ศ. 2500 แล้ว งานฟื้นฟูบูรณะ ศรีสัชนาลัยก็สิ้นสุดลงชั่วระยะเวลาหนึ่ง คงมีงบประมาณเฉพาะการดูแลโบราณสถานที่บูรณะแล้วเพียงไม่กี่แห่ง จนกระทั่งปี พ.ศ. 2508 งานศึกษาค้นคว้าเรื่องราวของเมืองศรีสัชนาลัย ตลอดจนการบูรณะครั้งใหญ่ได้เริ่มขึ้นพร้อม ๆ กับที่สุโขทัยและกำแพงเพชรอีกครั้งหนึ่ง ในครั้งนั้นรัฐบาลไทยได้แต่งตั้งคณะกรรมการบูรณะขึ้นคณะหนึ่งเรียกว่าคณะกรรมการบูรณะโบราณสถานเมืองสุโขทัย กำแพงเพชร และศรีสัชนาลัย โดยมีจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นประธานการการและควบคุมการดำเนินงานฟื้นฟูบูรณะโบราณสถาน  3 เมือง และรัฐบาลไทยได้จัดเงินงบประมาณเพื่อการนี้ปีละ 2 ล้านบาท การบูรณะโบราณสถานศรีสัชนาลัยในครั้งนี้ได้ดำเนินการขุดแต่งและบูรณะโบราณสถานสำคัญ ๆ รวม 13 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเขตกำแพงเมือง หลังจากปี พ.ศ. 2512 งานฟื้นฟูบูรณะศรีสัชนาลัยก็ยุติลงอีกครั้งหนึ่ง

เรื่องราวของศรีสัชนาลัยได้กลับคืนสู่สายตาและความทรงจำของชาวไทยหลังจากฟื้นฟูบูรณะเมื่อปี พ.ศ. 2512 เป็นต้นมา แต่เป็นที่น่าเสียดายที่หลังจากนั้นเป็นต้นมา งานฟื้นฟูบูรณะโบราณ-สถานก็ว่างเว้นลงคงได้รับงบประมาณจำนวนเล็กน้อยในแต่ละปี เป็นค่าดูแลรักษาถากถางทำความสะอาด โบราณสถานส่วนใหญ่ที่ยังมิได้บูรณะมีจำนวนนับร้อยแห่ง จึงชำรุดทรุดโทรมอย่างช่วยไม่ได้ต่อไปอีก ประกอบกับความกดดันทางเศรษฐกิจและสังคม ทำให้มีการบุกรุกลักลอบขุดหาโบราณ - สถานวัตถุอยู่เสมอ ศรีสัชนาลัยหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีของมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าแห่งนี้ จึงถูกทำลายไปทีละเล็กละน้อยอย่างน่าเสียดาย

หลังจากโครงการอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยได้รับการบรรจุให้อยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 5 แล้ว ในปี พ.ศ. 2526 กรมศิลปากรได้รับงบประมาณจำนวน 2 ล้านบาท และ 2 ล้าน 5 แสนบาท ในปี พ.ศ. 2527 สำหรับการเริ่มงานของโครงการฯ ซึ่งโครงการใช้จ่ายเป็นค่าเตรียมงานต่าง ๆ ได้แก่ การสร้างสำนักงาน การถากถางดูแลโบราณสถาน เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมโบราณสถานได้สะดวกขึ้น การขุดค้นทางโบราณคดีเพื่อหาหลักฐานต่าง ๆ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า การศึกษาค้นคว้าเพื่อรื้อฟื้นเรื่องราวของศรีสัชนาลัยเริ่มขึ้นอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง โดยการระดมนักวิชาการทั้งจากกรมศิลปากร มีผู้ชำนาญการด้านต่าง ๆ จากมหาวิทยาลัยและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิเช่น จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักผังเมือง กรมทางหลวง ฯลฯ เข้าร่วมศึกษาหาข้อมูลที่เกี่ยวกับเมืองศรีสัชนาลัยเพื่อจัดทำแผนแม่บทสำหรับการอนุรักษ์และฟื้นฟูเมืองโบราณแห่งนี้ สำหรับใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานของโครงการฯ อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมของชาติ ในการศึกษาข้อมูลต่างๆ ได้แบ่งหัวข้อการวิจัยรวม 12 หัวข้อ อาทิเช่น การศึกษาด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี ศิลปะ ผังเมือง มานุษยวิทยา สังคมวิทยา เครื่องสังคโลก การท่องเที่ยว สาเหตุการเสื่อมโทรมของโบราณสถาน และการศึกษาด้านภูมิสถาปัตยกรรม เป็นต้น คณะกรรมการจัดทำแผนแม่บทฯ ซึ่งประกอบด้วยผู้ชำนาญการได้เสนอเอกสารดังกล่าวและขณะนี้กำลังเตรียมการเสนอรายละเอียดของแผนแม่บทของโครงการ ฯ ต่อไป

เหตุผลในการจัดทำโครงการอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย


1.       เนื่องจากศรีสัชนาลัยเป็นเมืองลูกหลวงที่มีความสำคัญที่สุดในสมัยสุโขทัยทั้งด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี ซากโบราณสถานที่ปรากฏอยู่นับร้อยแห่งแสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมของชนชาติไทย อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่น่าภาคภูมิใจยิ่งของประชาชนชาวไทย
2.       เนื่องจากโบราณสถานเมืองศรีสัชนาลัยนับร้อยแห่งนั้นมีการขุดแต่งและบูรณะไปแล้วเพียงไม่กี่แห่งสมควรที่จะต้องดำเนินการศึกษาค้นคว้าและฟื้นฟูบูรณะให้เสร็จสมบูรณ์ ในส่วนที่บูรณะไปแล้วก็จำเป็นต้องอนุรักษ์ให้คงทนถาวรต่อไป นอกจากนั้นสภาวะภูมิอากาศของไทยก็มีส่วนทำลายโบราณสถาน หากไม่รีบดำเนินการ มรดกทางวัฒนธรรคเหล่านี้ก็มีแต่จะสูญสลายไปในที่สุด
3.       เมืองโบราณศรีสัชนาลัยมีพื้นที่กว้างขวาง โบราณสถานก็กระจัดกระจายครอบคลุมพื้นที่หลายตารางกิโลเมตร ยากแก่การควบคุม ทำให้มีการบุกรุกทำลายโบราณสถาน สร้างบ้านเรืองและลักลอบขุดหาโบราณวัตถุอยู่เสมอ หากมีการดำเนินงานของโครงการฯ ก็จะทำให้มีกำลังคน งบประมาณ ตลอดจนจัดให้มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจและหวงแหนมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ
4.       เพื่อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 ที่เน้นการพัฒนาพื้นที่ชนบทส่งเสริมความเป็นอยู่และรายได้ของประชาชนในท้องถิ่นจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว



วัตถุประสงค์ของโครงการ
1.       ศึกษาด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี ศิลปะ เศรษฐกิจ สังคม ผังเมือง ฯลฯ ของเมืองโบราณศรีสัชนาลัย เพื่อความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ
2.       เพื่ออนุรักษ์โบราณวัตถุสถานที่ปรากฏในอาณาบริเวณเมืองโบราณศรีสัชนาลัยตามหลักวิชาการ สงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมไว้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์และอารยธรรมของมวลมนุษยชาติ
3.       อนุรักษ์และพัฒนาสภาพทางกายภาพของพื้นที่ในเขตโบราณสถานเหล่านี้ให้คงไว้ซึ่งบรรยากาศของชุมชนโบราณ โดยสอดคล้องกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
4.       พัฒนาพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนในพื้นที่ให้สอดคล้องกับการพัฒนาโครงการ
5.       ฟื้นฟูศิลปะพื้นบ้าน การละเล่น ประเพณีพื้นบ้านและศิลปวัฒนธรรมสาขาอื่น ๆ ตลอดจนจัดเทศกาลสำคัญให้สัมพันธ์กับชุมชนโบราณในเขตพื้นที่ของโครงการ


เป้าหมายของการดำเนินงาน
1.       สำรวจ ค้นคว้า วิจัยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โบราณคดีของเมืองศรีสัชนาลัย ค้นคว้าศึกษาจากข้อมูลทุกด้าน ได้แก่ เอกสารจารึกต่าง ๆ ทั้งในและนอกประเทศ รวมทั้งสนับสนุนให้มีการจัดประชุม อภิปราย รวมทั้งจัดให้มีการเผยแพร่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
2.       สำรวจ วิจัยหาข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนโบราณวัตถุ โบราณสถาน ศึกษาสาเหตุของการพังทลายด้านต่าง ๆ ได้แก่ สาเหตุการเสื่อมโทรมพังทลายด้านเคมี ชีวะ และฟิสิกซ์ รวมทั้งดำเนินการอนุรักษ์ด้วยกรรมวิธีที่เหมาะสมและถูกต้องตามกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการสงวนรักษา
3.       ทำการสำรวจสภาพทางกายภาพของพื้นที่ที่โบราณสถานปรากฏอยู่ ดำเนินการประกาศเป็นเขตโครงการและเขตสงวนรักษาทางประวัติศาสตร์ ควบคุมการใช้ที่ดิน อาคาร สิ่งปลูกสร้าง ตลอดจนพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวให้มีความสวยงามสอดคล้องกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณ-คดีให้มากที่สุด
4.       ศึกษาและพัฒนาชุมชนในเขตพื้นที่ของโครงการให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี โดยการส่งเสริมประกอบอาชีพที่สัมพันธ์กับการพัฒนาโครงการ ได้แก่ การหารายได้จากการท่องเที่ยว การจ้างแรงงานในด้านการดำเนินโครงการ
5.       ศึกษาและฟื้นฟูกิจกรรมของศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยสนับสนุนให้มีการศึกษาวิจัยรูปแบบของกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งสนับสนุนหรือร่วมกับหน่วยราชการต่าง ๆ จัดเทศกาลที่เหมาะสมเพื่อการอนุรักษ์และการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์








บทที่ ๓
ศรีสัชนาลัยในสมัยสุโขทัย




สมัยสุโขทัยน่าจะเริ่มต้นจริง ๆ ในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 18 หรือเมื่อประมาณ  พ.ศ.1761 ซึ่งเป็นยุคที่พ่อขุนศรีนาวนำถม เข้ามาปกครองสุโขทัย อันเป็นเมืองเล็กริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยม ภายหลังอำนาจของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ของขอมเริ่มสั่นคลอนและลดถอยลง

ต่อมาสุโขทัยกลับไปเป็นของขอมอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก็ถูกสองผู้นำชาวไทยแห่งเมืองบางยางและเมืองราด  นำกำลังคนเข้ายึดสุโขทัยกลับคืนมาได้ในเวลาไม่นาน  ประมาณปี พ.ศ.1792 – 1800 สุโขทัยก็ได้รับการสถาปนาเป็นราชธานี โดยมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นกษัตริย์ปกครองสืบต่อมา และถือว่าเป็นเวลาแห่งอรุณรุ่งของอาณาจักรสุโขทัยอย่างแท้จริง

ในระยะแรก สุโขทัยแผ่ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ถือว่าเป็นรัชสมัยที่สุโขทัยมีราชอาณาจักรกว้างไกลที่สุด ประกอบด้วยเมืองสำคัญต่าง ๆ เช่น ศรีสัชนาลัย พิษณุโลก กำแพงเพชร ตาก นครสวรรค์ แพร่ และน่าน ส่วนดินแดนที่เป็นประเทศราช ได้แก่ เมาะตะมะและนครศรีธรรมราช ซึ่งต่อมาเมืองทั้งสองนี้ได้แยกตัวออกเป็นอิสระ

สุโขทัยเป็นอาณาจักรที่ตั้งอยู่ทางภาคกลางตอนบนของประเทศไทย อาณาเขตส่วนใหญ่อยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำยม และลุ่มแม่น้ำน่าน ถือเป็นแบบฉบับของเมืองหลวงโบราณที่ดีเยี่ยมอย่างแท้จริงเมืองหนึ่ง ที่มีการสร้างกันมานับตั้งแต่ทำเลที่ตั้งของเมืองซึ่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีคูเมือง เขื่อน และระบบชลประทานที่เยี่ยมยอด

ศิลาจารึกหลักที่ 1 บอกสภาพผังเมืองเอาไว้อย่างชัดเจนว่า มีกำแพงเมืองถึง 3 ชั้น คูน้ำ 3 ชั้น ล้อมรอบทั้ง 4 ด้านของเมือง แต่ละด้านมีประตูด้านละ 1 ประตู เพื่อให้ประชาชนสามารถเดินทางติดต่อกันได้อย่างสะดวกสบาย

ศิลาจารึกกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า กลางเมืองสุโขทัยมีตระพังขนาดใหญ่ ที่มีน้ำใส กินและใช้ได้ตลอดปี นอกจากนั้นยังมีวัดใหญ่อยู่ใจกลางเมือง นอกจากนั้นบ้านเมืองของเขายังสวยงาม ร่มรื่นและเขียวชอุ่มไปด้วยพืชพันธุ์นานาชนิด เช่น ป่าหมาก ป่าพลู ป่ามะม่วง ป่ามะขาม ป่าตาล ป่ามะพร้าว และป่าลาง
ชานเมืองด้านทิศใต้ยังเป็นที่ตั้งของสรีดภงส์หรือเขื่อนกั้นน้ำที่ถือเป็นการวางแผนด้านชลประทานที่ดีที่สุด อันที่จริงแล้วสุโขทัยมีเขื่อนกั้นน้ำอยู่ทั้งด้านทิศเหนือและทิศใต้ และยังมีการขุดสระเก็บน้ำขนาดใหญ่เล็ก ตามความเหมาะสมของพื้นที่กระจายไว้ทั่วเมือง มีการต่อท่อดินเผาเพื่อนำน้ำจากแหล่งน้ำส่งไปตามสถานที่ที่ห่างไกลด้วย

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่น่าแปลกเลยที่สุโขทัยจะอุดมสมบูรณ์และเขียวชอุ่มไปด้วยพืชพันธุ์นานาชนิด ประชาชนนอกจากจะประกอบอาชีพได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรรม ทำไร่ทำนาแล้ว ก็ยงอาจจะทำงานหัตถกรรมและค้าขายได้อย่างเสรี เพราะพ่อเมืองไม่เก็บภาษี การเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมจึงเจริญสูงสุด ทั่วสุโขทัยมีโรงงานสังคโลกขนาดใหญ่ถึง 3 แห่ง มีเตาเผาเครื่องสังคโลกกระจายอยู่ทั่วไป

ระบบเศรษฐกิจของจึงขึ้นอยู่กับการเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการค้าขายผลิตผลทางการเกษตรซึ่งเป็นอาชีพหลักของประชาชน นอกจากนั้นผลิตผลทางอุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งปรากฏหลักฐานว่า มีการผลิตเครื่องปั้นดินเผาเคลือบในลักษณะอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่บริเวณ   แม่โจน นอกเมืองสุโขทัย บริเวณเกาะน้อยป่ายาง เมืองศรีสัชนาลัย และที่บ้านเตาไห เมืองพิษณุโลก ซึ่งเมื่อรวมทั้งหมดแล้วมีเตาเผาเครื่องปั้นดินเผาถึง 200 เตา เครื่องปั้นดินเผาเหล่านี้ สุโขทัยได้นำไปขายยังเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้เคียง และไกลออกไปรอบ ๆ หมู่เกาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ก่อนที่พุทธศาสนาจะแพร่เข้ามาถึงสุโขทัย ชาวสุโขทัยนับถือผีบรรพบุรุษ ตลอดจนเทพยดาต่าง ๆ ต่อมามีการนับถือเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ ซึ่งแพร่สะพัดเข้ามาพร้อมกับอิทธิพลของขอมที่แผ่ขยายอาณาจักรครอบคลุมมาถึงสุโขทัย แต่เมื่อชาวสุโขทัยได้รับพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำราชอาณาจักรแล้ว ก็ให้ความเลื่อมใสศรัทธาอย่างจริงจัง จะเห็นได้จากการสร้างวัดและพระพุทธรูปต่าง ๆ เอาไว้อย่างมากมาย

พุทธศาสนาที่ชาวสุโขทัยนับถือเป็นพุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งได้รับสืบทอดมาจากนครศรีธรรมราช พระสงฆ์จากนครศรีธรรมราชที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชนิมนต์มาเป็นพระสังฆราชแห่งอาณาจักรสุโขทัย ได้ปรับปรุงกิจกรรมทางพุทธศาสนาให้ดีขึ้น นอกจากนั้น ยังมีการส่งพระสงฆ์ชาวสุโขทัยไปศึกษาด้านพุทธศาสนาในลังกาและกลับมาเผยแผ่ความรู้ทางด้านพุทธศาสนาให้แก่ประชาชนชาวสุโขทัย ทำให้ชาวสุโขทัยเป็นพุทธศาสนิกที่เคร่งครัด และมีความรู้ทางด้านพระธรรมวินัยและพระพุทธศาสนาดี เกิดมีความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแรงกล้าในพระพุทธศาสนา เป็นผลให้มีการสร้างพุทธวัตถุต่าง ๆ ไว้ในอาณาจักรสุโขทัยมากมาย

ความเป็นอยู่ที่อุดมสมบูรณ์และสงบสุข ทำให้ชาวสุโขทัยหันมาสร้างสิ่งต่าง ๆ อันเป็นไปตามแรงศรัทธาของตน และสิ่งเหล่านั้นเมื่อวันเวลาผ่านพ้นไป ได้กลายเป็นศิลปกรรมอันล้ำค่าที่หล่อหลอมขึ้นมาจากพลังแห่งความเคารพนับถืออย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปที่แสดงออกถึงพระวิมุตติสุข ความสง่างามอ่อนหวาน จนได้รับการยกย่องจากคนทั่วไปว่า เป็นยุคสูงสุดแห่งความงดงามทางศิลปะของไทย

สำหรับเมืองศรีสัชนาลัย เป็นเมืองเก่าแก่คู่กันมากับสุโขทัย ต่อมาเมื่อสุโขทัยได้รับการสถาปนาเป็นราชธานี โดยกษัตริย์ราชวงศ์พระร่วง ศรีสัชนาลัยก็ได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองสำคัญระดับเมืองลูกหลวง ในจารึกพ่อขุนรามคำแหงหลังที่ 1 ตอนหนึ่งมีข้อความว่า “พ่อขุนรามคำแหงลูกพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เป็นขุนในเมืองศรีสัชนาลัย” นั่นย่อมหมายความว่า ก่อนที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชจะเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ สืบต่อจากพ่อขุนบานเมือง ทรงครองเมืองศรีสัชนาลัยมาก่อน

ศรีสัชนาลัยเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในสมัยพระยาลิไทเป็นอุปราชและเสด็จมาครองเมืองนี้ หลังจากครองศรีสัชนาลัย 6 ปี จึงได้นิพนธ์ไตรภูมิกถา ซึ่งเป็นวรรณกรรมทางพุทธศาสนาเล่มแรกของไทยขึ้น โดยค้นคว้าจากพระไตรปิฎกและคัมภีร์ต่าง ๆ ต่อมาเมื่อพระยางั่วนำถมสิ้นพระชนม์ บัลลังก์สุโขทัยว่างลง ทำให้ลูกชายของพระยางั่วนำถมต้องการครองสุโขทัยแทน แต่พระยาลิไทในตำแหน่งอุปราชไม่ยินยอม จึงได้ยกกองทัพมาปราบ และได้ขึ้นครองสุโขทัย

ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเรียกชื่อเมืองศรีสัชนาลัยว่าสวรรคโลก โดยกล่าวถึงไว้ในกฎมณเฑียรบาลสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับหลวงประเสริฐ ปรากฏชื่อสวรรคโลกครั้งแรกในเหตุการณ์ปี พ.ศ. 2099 กล่าวถึงการยกทัพไปตีเขมร

เนื่องจากการสงครามระหว่างอยุธยากับล้านนาและกับพม่า มีการเดินทัพผ่านขึ้นมาทางหัวเมืองเหนือศรีสัชนาลัยเป็นเมืองหนึ่งที่อยู่ในเส้นทางการเดินทัพของทั้งสองฝ่าย ดังนั้นจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงการสงครามได้ ปรากฏว่ามีการอพยพหนีภัยสงคราม ทิ้งให้เมืองร้างเป็นครั้งคราว เช่น ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หลังจากที่พระองค์ปราบพระยาพิชัยและพระยาสวรรคโลกได้แล้วก็โปรดฯ ให้เทครัวอพยพผู้คนไปยังเมืองพิษณุโลก และการทิ้งเมืองให้ร้างอีกครั้งในคราวกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2310

หลังจากที่พระเจ้าตากสินทรงรวบรวมคนไทยที่แบ่งแยกออกเป็นหลายฝ่ายเข้าด้วยกันแล้วจึงโปรดฯ ให้ตั้งเมืองสวรรคโลกขึ้นใหม่ในปี  พ.ศ. 2313

  

ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมีชัยชนะต่อสงครามกับพม่าในปี พ.ศ. 2328 แล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเมืองสวรรคโลกขึ้นใหม่ แต่เนื่องจากบ้านเมืองทรุดโทรมมาก จึงย้ายที่ตั้งที่ว่าการเมืองสวรรคโลกไปยังตำบลวังไม้ขอน ซึ่งเป็นแหล่งชุมชนที่หนาแน่นกว่าและตั้งเป็นเมืองสวรรคโลกใหม่มาจนถึงปัจจุบัน                   

สำหรับเมืองศรีสัชนาลัยในอดีตนั้น ชาวบ้านต่างเรียกกันว่าบ้านเมืองเก่า ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อำเภอศรีสัชนาลัย ซึ่งแต่เดิมเรียกว่าอำเภอด้ง โดยตั้งอยู่ที่ตำบลป่างิ้วได้ 5 ปี ก่อนที่จะย้ายมาตั้งที่ตำบลหาดเสี้ยวโดยยังใช้ชื่ออำเภอหากเสี้ยวตามชื่อหมู่บ้าน และใช้ชื่อนี้มาจนถึงปี พ.ศ. 2476 จึงเปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอศรีสัชนาลัยตามความต้องการของคณะรัฐบาลในสมัยนั้น ซึ่งเห็นว่าควรตั้งชื่ออำเภอให้สอดคล้องกับความเป็นนครอันเก่าแก่และมีประวัติศาสตร์ยาวนาวมาในอดีต


บทที่ ๔
ศิลปะ สถาปัตยกรรม จิตรกรรม ลวดลายประดับโบราณสถาน
ศิลป      
ตลอดระยะเวลาไม่น้อยกว่า ๕๐๐ปี   ที่เมืองศรีสัชนาลัยดำรงความเป็นเมืออยู่นั้น   ศรีสัชนาลัยเป็นเมืองที่คงลักษณะศิลปกรรมเฉพาะของสุโขทัยไว้ได้มากยิ่งกว่าเมืองอื่นที่มีอายุสมัยรุ่นเดียวกัน   แม้แต่สุโขทัยเมืองต้นแบบเอง

งานศิลปกรรมของเมืองศรีสัชนาลัยแบ่งออกเป็น   สถาปัตยกรรม    ประติมากรรม    จิตรกรรมและลวดลายประดับโบราณสถาน



สถาปัตยกรรม

เป็นงานศิลปกรรมที่เด่นชัดที่สุด   เพราะยังมีซากปรักหักพังของโบราณสถานเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก   ซึ่งส่วนใหญ่เป็นศาสนสถานพุทธศาสนามหายานและพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทแบบลังกาวงศ์   ซึ่งโบราณสถานเหล่านี้เริ่มสร้างมาตั้งแต่ก่อนสุโขทัย    ในสมัยสุโขทัย   และในสมัยที่ตกอยู่ในอำนาจของกรุงศรีอยุธยา

รูปแบบของสถาปัตยกรรมแบ่งออกได้ดังนี้
๑. สถาปัตยกรรมรูปทรงอาคาร   ได้แก่   วิหาร   โบสถ์    มณฑป    ซุ้มพระ    และศาลา
- วิหารเป็นอาคารขนาดใหญ่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า   มักตั้งอยู่เจดีย์ประธานหรือซุ้มพระ
- โบสถ์หรือพระอุโบสถมักเป็นอาคารขนาดเล็ก   สำหรับประกอบพิธีสังฆกรรมโดยเฉพาะ
- มณฑป  เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ก่อผนังทึบ  มีทางเข้าด้านหน้า ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป   บางวัดใช้เป็นสถาปัตยกรรมประธานของวัดบางแห่งสร้างมณฑปต่อเนื่องกับฐานวิหาร

  ๒. สถาปัตยกรรมรูปสถูปเจดีย์และปรางค์    แผนผังมักเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส   อาจแบ่งออกได้เป็น

- ปรางค์    ที่พบบริเวณเมืองศรีสัชนาลัยมี๒แห่ง   คือ  ปรางค์ที่วัดพระศรีรัตนเจดีย์มหาธาตุเชลียง   และวัดเจ้าจันทร์

- เจดีย์ทรงดอกบัวตูม     เป็นสถาปัตยกรรมแท้   ลักษณะโดยทั่วไปประกอบด้วยฐานรูปสี่เหลี่ยมซ้อนกัน๓-๔ชั้น   แล้วจึงเป็นเรือนธาตุ   ย่อมุมไม้ยี่สิบ   เหนือเรือนธาตุเป็นรูปดอกบัวตูม   แล้วเป็นปล้องไฉน   ปลียอดและเม็ดน้ำค้าง

- เจดีย์ทรงกลมหรือทรงลังกา   เจดีย์แบบนี้พบมากกว่าแบบอื่น   เชื่อกันว่าเป็นรูปแบบเจดีย์ที่สร้างตามคตินิยมศิลปะลังกา   ที่ส่วนฐานแตกต่างกันไปหลายลักษณะ   แต่โดยทั่วไปทำเป็นฐานหน้ากระดานซ้อนกัน ๓-๔ ชั้น  ฐานชั้นบนหรือบังลังก์ล่างเป็นฐานแปดเหลี่ยม   เหนือขึ้นไปเป็นมาลัยลูกแก้วหรือบัวลูกแก้วซ้อนกันสามชั้น  เหนือบัวลูกแก้วเป็นบัวปากระฆัง  บังลังก์  ปล้องไฉนและปลียอด  

-  เจดีย์ทรงเรือนธาตุ    เจดีย์ทรงเรือนธาตุนี้ลักษณะโดยทั่วไปประกอบด้วยฐานหน้ากระดานสี่เหลี่ยมย่อมุมค่อนข้างสูง    ฐานบัวลูกแก้วราบย่อเก็จ    เรือนธาตุเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส    มีซุ้มจรนัมประดิษฐานพระพุทธรูปเหนือเรือนธาตุขึ้นไปทำเป็นฐานสี่เหลี่ยมรองรับส่วนยอดที่เป็นเจดีย์ทรงกลม    ฐานส่วนล่างของเจดีย์ทรงนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับพระบรมธาตุไชยา       อาจเป็นการรับอิทธิพลศิลปะศรีวิชัยมา   เจดีย์ทรงนี้มีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างออกไป    เช่น   อาจมีเจดีย์บริวารประดับอยู่ที่มุมทั้งสี่    หรืออื่นๆแต่ลักษณะโดยทั่วไปจัดให้อยู่ในเจดีย์ทรงเรือนธาตุนี้

  ๓. สถาปัตยกรรมแบบอื่นๆ    

          กำแพงวัดและกำแพงแก้วส่วนใหญ่ก่อด้วยศิลาแลงสอดินซ้อนกันขึ้นไปสูงประมาณ ๒-๓ เมตร    หรือทำเลียนแบบเครื่องไม้โดยตัดศิลาแลงออกเป็นท่อนยาวอาจเป็นรูปสี่เหลี่ยมหรือรูปกลมปักลงไปในดินให้เรียงชิดกัน     มีจั่วปลายแหลมปิดทับข้างบน    บริเวณมุมทั้งสี่บางที่ย่อมุมเป็นหัวเม็ดทรงมัณฑ์
         ซุ้มประตูทางเข้าออกภายในวัด    บางแห่งทำเป็นซุ้มประตูเล็กๆย่อมุม   บางแห่งทำเป็นซุ้มประตูเลียนแบบศิลปะเขมร  ประตูเมืองลักษณะคล้ายรูปแบบประตูทางเข้าศาสนสถาน   มีช่องสำหรับที่พักคนยาม สถาปัตยกรรมที่ยังคงเหลือร่องรอยให้เห็นในปัจจุบันใช้ ศิลาแลงเป็นส่วนใหญ่มีอิฐปะปนอยู่บ้าง   เทคนิคการก่อสร้างก่อแบบชั้นหนึ่งเอาด้านหัวศิลาแลงหรืออิฐออกโดยตลอด อีก ชั้นหนึ่งเอาด้านยาวออกโดยตลอดสลับกันไป การเรียงเช่นนี้ถือว่าเป็นแบบโครงสร้างที่มั่นคงที่สุดเรียกกันว่าระบบอิงลิชบอนด์ส่วนวัตถุประสานใช้สอดินแล้วฉาบปูนภายนอก


ประติมากรรม

งานประติมากรรมของศรีสัชนาลัย    ส่วนใหญ่เป็นพระพุทธรูปในลัทธิเถรวาทแบบลังกาวงศ์   พุทธลักษณะโดยทั่วไปเหมือนพระพุทธรูปแบบต่างๆของสุโขทัย    นอกจากพระพุทธรูปแล้วยังมีงานประติมากรรมในรูปแบบอื่นๆอีก เช่น  รูปยักษ์   เทวดา   คน   รูปสัตว์ในเทพนิยาย  และรูปสัตว์ทั่วๆไป  ประติมากรรมรูปคนและรูปสัตว์นี้ส่วนใหญ่เป็นเครื่องปั้นดินเผาหรือเครื่องสังคโลก  

จิตรกรรม

จิตรกรรมฝาผนังพบที่ศรีสัชนาลัยมีอยู่ ๒ แห่งคือ   เจดีย์รายหมายเลขที่๓๓ วัดเจดีย์เจ็ดแถว   และที่เจดีย์วัดเจ็ดยอด  บริเวณอรัญญิก แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าในปัจจุบันนี้ได้ลบเลือนไปเกือบหมดแล้ว
ลักษณะการเขียนเป็นแบบสีเอกรงค์   คือใช้สีเดียวกันแต่มีน้ำหนักของสีอ่อนแก่แตกต่างกัน    สีที่เขียนมีสีชาว  สีแดง   และสีดำ    ภาพที่เขียนเป็นภาพอดีตพุทธเขียนเป็นแถวตามแนวนอน   มีลายพันพฤกษาหรือลายกนก   โดยการใช้โครงสร้างและการจัดภาพตามแบบอย่าง   ภาพลายเส้นจากอินเดีย   แต่ใช้ลักษณะประติมากรรมสุโขทัยเป็นแบบพระพักตร์พระพุทธรูป

ลวดลายประดับโบราณสถาน

ลวดลายที่ปรากฏนั้นทั้งลวดลายที่เป็นศิลปะสุโขทัยเองและลวดลายที่รับอิทธิพลจากศิลปะอื่นๆ  เช่น   ศิลปะเขมร  ศิลปะพม่าที่เมืองพุกาม  และแม้แต่ลวดลายอยุธยาในสมัยหลัง
ตระกูลช่างศรีสัชนาลัยไม่ว่าจะเป็นสถาปนิก   ประติมากร  จิตรกร  หรืองานช่างอื่นๆ     ได้ผลิตศิลปะที่งดงาม  สุดยอดโดยมีความเชื่อทางพุทธศาสนาเป็นแรงบันดาลใจ    และความสงบร่มรื่นของเมืองศรีสัชนาลัยเป็นพื้นฐาน 

บทที่ ๕
ร่องรอยอดีต

ณ ที่ราบท่ามกลางหุบเขาเล็กๆ   ซึ่งทอดตัวเป็นแนวยาวอ้อมโค้งจากทิศใต้สู่ทิศ   ตะวันออกเฉียงเหนือบางส่วนของแนวสันเขาได้ถูกลำน้ำไหลตัดผ่าน  เกิดเป็นแก่งขนาดใหญ่ที่มีกระแสน้ำไหลผ่านเชี่ยวกรากชั่วนาปีอารยธรรมและความเจริญของชนกลุ่มหนึ่งได้เริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อยบนที่ราบริมฝังลำน้ำแห่งความอุดมสมบูรณ์สายนั้น  วันเวลาผ่านไปจากกลุ่มชนเล็กๆ ได้เพิ่มใหญ่ขยายกลายเป็นเมืองจากเมืองขนาดเล็กเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่มั่นคงขึ้นตามลำดับ  จากเมืองเชลียงได้กลายมาเป็นเมืองหลวงคู่กับเมืองสุโขทัยในระยะแรกและเปลี่ยนมาเป็นเมืองลูกหลวงที่มีความสำคัญในอาณาจักรสุโขทัย
ศูนย์กลางของอาณาจักรสุโขทัยตั้งอยู่ทางตอนล่างของภาคเหนือหรือตอนบนสุดของที่ราบลุ่มใหญ่ภาคกลางที่เกิดจากตะกอนทับถมของลำน้ำ ๓ สายคือ ปิง ยม และน่าน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มสลับกับที่ดอนมีเทือกเขาเตี้ยๆกระจายอยู่ตามชายเขตที่ราบ โดยมีหัวเมืองสำคัญในพื้นที่นี้ได้แก่ กำแพงเพชรคุมเส้นทางแม่น้ำปิง พิษณุโลกคุมเส้นทางแม่น้ำน่านและศรีสัชนาลัยคุมเส้นทางแม่น้ำยม แต่เดิมพื้นที่แถบนี้เป็นศูนย์กลางการติดต่อระหว่างกลุ่มชนที่อยู่ลึกเข้าไปในเทือกเขาทางตอนเหนือแถบล้านนาและกลุ่มชน



ที่อยู่ในที่ราบลุ่มภาคกลางและที่อยู่ติดชายฝังทะเล การติดต่อกับภายนอกใช้ทั้งเส้นทางน้ำและทางบก ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓- ๑๕ มีชุมชนโบราณกระจายกันอยู่หลายแห่ง
ตามริมฝังแม่น้ำปิงและแม่น้ำน่านโดยคงจะเป็นเพียงชุมชนเล็กๆระดับหมู่บ้าน และเริ่ม แทรกตัวอยู่หนาแน่นขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ แต่ไม่มีหลักฐานแน่ชัด นอกจากตำนานสิงหนวัต (โยนก) กล่าวว่ามีกลุ่มคนไทยอีกสายหนึ่งอพยพมาอยู่ในพื้นที่แถบนี้ หลักฐานของคนไทยปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก คือคำว่า ชาวสยามในจารึกที่วิหารโปนาการ์ เมืองญาตรัง ประเทศเวียดนามราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ จึงอาจถือเป็นข้อยุติเบื้องต้นได้ว่ามีคนไทยกระจายกันอยู่อาศัยในพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง  บริเวณที่ตั้งของอาณาจักรสุโขทัยโดยทั่วไป

ระหว่างพุทธศตวรรษที่๑๗ กลุ่มชนเหล่านี้เริ่มเป็นปึกแผ่นตั้งบ้านเมืองของตนเองขึ้น จากหมู่บ้านกลายเป็นเมือง บางครั้งก็ยึดครองเมืองจากชนพื้นเมืองเดิม เกิดเป็นแคว้นเล็กๆขึ้น เช่น ลพบุรีและสุพรรณบุรีในภาคกลาง สุโขทัยในภาคเหนือตอนล่างและโยนกในภาคเหนือตอนบน เป็นต้น ฐานะของแคว้นเหล่านี้โดยเฉพาะลพบุรี สุพรรณบุรี และสุโขทัยคงขึ้นกับอาณาจักรเขมร เนื่องจากเวลานั้นกษัตริย์เขมรมีอำนาจมาก นับแต่พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ และคงจะมีอำนาจไปถึงแคว้นและหัวเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงสุโขทัยด้วย

รัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ (ราวครึ่งหลังของพุทธศตวรรษที่๑๗)อำนาจของพระองค์ที่มีต่อบริเวณภาคกลางและภาคเหนือตอนล่างยิ่งมีมากขึ้น ดังปรากฏโบราณสถานสำคัญคือ ศาลตาผาแดงในเมืองเก่าสุโขทัย เป็นโบราณสถานที่เก่าที่สุดที่มีหลักฐานอยู่ในปัจจุบัน แต่ถึงกระนั้นก็ตามมีบางช่วงที่อำนาจเขมรอ่อนลง  สาเหตุเนื่องจาก  ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๘ เขมรรบกับจามเป็นประจำเมื่อกษัตริย์เขมรรบชนะจามก็ทรงขยายอำนาจมายังภาคกลางของประเทศไทยด้วยเป็นระยะไป

ครั้งสุดท้ายพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงกอบกู้อาณาจักรเขมรขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง  หลังจากปราบปรามพวกจามที่เข้ามาเผาเมืองพระนคร  (ภายหลังสิ้นราชกาลพระเจ้าสุ-ริยวรมันที่๒) ลงได้ ทรงแผ่อำนาจเข้ามาในภาคกลางของประเทศไทยและส่งพระราชโอรส คือ อินทรวรมัน มาเป็นอุปราชครองเมืองลพบุรีอาจเนื่องมาจากทรงเห็นว่าคนไทยเริ่มมีอำนาจมากขึ้น จำเป็นต้องมีการควบคุมหัวเมืองต่างๆไว้โดยใช้เมืองลพบุรีเป็นศูนย์กลาง หัวเมืองดังกล่าวคือ เมืองสุโขทัย เมืองศรีสัชนาลัย เมืองราด เมืองบางยาง ตามที่ปรากฏชื่อในศิลาจารึกหลักที่ ๑และหลักที่ ๒และอาจมีเมืองหรือชุมชนสำคัญอื่นอีกหลายแห่ง โดยปรากฏหลักฐานจากอิทธิพลของศิลปะเขมรสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่๗ หรือที่เรียกว่า ศิลปเขมรแบบบายน ได้แพร่กระจายควบคู่ไปกับอิทธิพลทางการเมือง เช่น วัดพระพายหลวง วัดเจ้าจันทร์ และ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง เป็นต้น

เมื่อสิ้นราชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อาณาจักรเขมรเริ่มเสื่อมอำนาจลงในขณะที่กลุ่มคนไทยเริ่มมีอำนาจมากขึ้น จนกระทั้งถึง พ.ศ. ๑๗๘๐ ๑๗๘๑  เมื่อพระยาศรีนาวนำ-ถม บิดาของพ่อขุนผาเมืองเจ้าเมืองราดสิ้นพระชนม์ ขอมสบาดโขลญลำพง (อาจจะเป็นขุนนางเขมรที่ควบคุมดูแล) เข้ายึดเมืองสุโขทัย พ่อขุนบางกลางหาวเจ้าเมืองบางยาง จึงร่วมมือกับพ่อขุนผาเมืองเข้าชิงเมืองสุโขทัยคืนได้ พ่อขุนผาเมืองจึงอภิเษกพ่อขุนบางกลางหาวขึ้นครองเมืองสุโขทัยและถวายพระนามว่า               
  
กมรเตงอัญศรีบดิทรทิตย หรือ เรียกกันว่า พ่อขุนศรีอินทรทิตย์
สุโขทัยเมื่อแรกเริ่มเป็นบ้านเมือง ก็มิได้เป็นศูนย์กลางที่สำคัญเพียงเมืองเดียวของอาณาจักรสุโขทัยยังมีเมืองศรีสัชนาลัย ซึ่งปรากฏความสำคัญควบคู่ไปกับเมืองสุโขทัยไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง การศาสนา และเศรษฐกิจ ดังที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ ๑จารึกพ่อขุนรามคำแหง ศิราจารึกหลักที่ ๒ จารึกวัดศรีชุม และศิราจารึกหลักที่ ๓ จารึกนครชุมที่มักเรียกชื่อเมืองทั้งสองควบคู่กันไปว่า ศรีสัชนาลัยสุโขทัย

ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าเมืองศรีสัชนาลัยสร้างขึ้นเมื่อใดจากเอกสารของล้านนาได้ปรากฏชื่อเมืองเชลียงว่าเป็นเมืองเก่าราวพุทธศตวรรษที่ 16 จากพงศาวดารโยนกกล่าวว่าเมื่อพระเจ้าสิริชัยหนีทัพมอญและไทยใหญ่ผ่านแดนเชลียงมาตั้งมั่นที่เมืองไตรตรึงเมื่อ พ.ศ. ๑๕๔๗ และในจดหมายเหตุพงศาวดารจีน พ.ศ. ๑๕๐๓-๑๖๗๐กล่าวถึงที่ตั้งประเทศตานเหมยหลิ่ว(ตามพรลิงค์-นครศรีธรรมราช)ทิศตะวันออกเฉียงเหนือถึงหลอหู(ละโว้) ระยะทาง ๒๕  เฉิงทิศเหนือถึงเฉิงเหลียง ระยะทาง ๖๐ เฉิง ซึ่งแคว้นเฉิงเหลีงนี้ได้แก่เมืองเฉลียงหรือเชลียงจนกระทั้งในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงจึงปรากฎว่าเมืองเชลียงได้ย้ายขึ้นไปทางด้านเหนือติดเชิงเขาซึ่งเป็นที่ราบ ซึ่งก็คือเมืองเก่าศรีสัชนาลัย

ก่อนจะเป็นศรีสัชนาลัย


นักประวัติศาสตร์โบราณคดีเชื่อว่า ก่อนที่จะมีการสร้างเมืองศรีสัชนาลัยขึ้นบริเวณนี้เคยเป็นที่ตั้งเมืองเก่าแก่แห่งหนึ่งมาก่อนเมืองเก่าแก่แห่งนี้เป็นแหล่งชุมชนที่มีที่อยู่อาศัยสืบเนื่องมาแต่สมัยโบราณชื่อว่า เชลียง
 จากการขุดค้นของนักโบราคดีทำให้พบขวานหินขัดที่บริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งเมืองเชลียง ทำให้สันนิษฐานได้ว่า ดินแดนนี้เคยมีมนุษย์อยู่อาศัยมาตั้งแต่สมัยหินและยืดยาวมาจนถึงปลายยุคโลหะก่อนที่ชนเผ่าไทยจะรวมตัวกันจนมีความเข้มแข็ง ดินแดนส่วนนี้เคยอยู่ใต้อำนาจของขอมมาก่อน พงศาวดารโยนกกล่าวว่า เมื่อ พ.ศ. ๙๓๙ คนไทยในเมืองเหนือได้แข็งข้อต่อขอม ทำให้ขอมต้องยกทัพขึ้นไปปราบปราม แต่ถูกพระเจ้าพรหมซึ่งเป็นหัวหน้าคนไทยต่อต้านจนแตกพ่าย กองทัพขอมหนีลงมาถึงแดนเฉลี่ยง(เชลียง)
หลักฐานทางโบราณคดีที่พบในวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เชลียง และวัดเจ้าจันทร์ ทำให้นักโบราณคดีสันนิษฐานว่ามีชุมชนอยู่ที่เมืองเชลียงมาแล้วตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๘ ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช (หลักที่ ๑ ด้านที่ ๓)ได้กล่าวถึงเมืองเชลียงไว้ว่าจารึกอันหนึ่งมีในเมืองเชลียงสถาบกไว้ด้วยพระศรีมหาธาตุ
จึงสามารถสรุปได้ว่าเชลียงเป็นเมืองเก่าแก่ของชาวเผ่าไทยที่รวมตั้งกันขึ้นตั้งแต่ก่อนสถาปนาอาณาจักรสุโขทัยเป็นราชธานี มีหลักฐานยืนยันว่า เมืองเชลียงตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยงซึ่งถ้ามองในแผนที่จะเห็นว่าลำน้ำบริเวณนี้มีความคดงอเหมือนไส้ไก่ทำให้กลายเป็นคูธรรมชาติที่โอบล้อมเมืองไว้
การมีลักษณะภูมิประเทศคล้ายเกาะที่ล้อมรอบด้วยแม่น้ำทำให้เมืองเชลียงยากแก่การขยับขยายให้เจริญเติบโต ในเวลาเดียวกันกระแสน้ำที่กัดเซาะชายตลิ่งอยู่ตลอดเวลาก็ทำให้ส่วนที่เป็นพื้นดินของเมืองลดลงไปทุกที ดังนั้นเทื่อพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ขึ้นครองราชย์ในกรุงสุโขทัยพร้อมกำหนดให้เชลียงเป็นเมืองลูกหลวงจึงต้องมีการย้ายไปสร้างเมืองยังที่ใหม่ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเก่าเพียง ๓ กิโลเมตรและตั้งชื่อว่า ศรีสัชนาลัย
เมืองเชลียงมีรูปร่างคล้ายกับสี่เหลี่ยมผืนผ้ากำแพงเมืองด้านทิศใต้จดป่าช้าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง ส่วนกำแพงเมืองด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกจดลำน้ำยม ทิศใต้
เชลียงเป็นเมืองโบราณมีความสำคัญมากเมืองหนึ่ง แม้เมื่ออาณาจักรสุโขทัยเริ่มเสื่อมอำนาจลง เชลียงก็ยังเป็นที่รู้จักกันในฐานะเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งของภาคเหนือ

ในกฎหมายเก่าบานแผนกกฎหมายลักษณะลักพาบทหนึ่งซึ่งพระเจ้าอู่ทองทรงตราขึ้นเมื่อปีมะแม ภายหลังเมืองสร้างกรุงศรีอยุธยาได้หาปีมีชื่อเมืองเหนืออยู่ในนั้น ๘ เมืองเรียกเป็นคู่ๆ คือ
 เมืองเชลียง สุโขทัย 
 เมืองทุ่งยั้ง บางยม
 เมืองสองแคว สระหลวง
 เมืองชากังราว กำแพงเพชร
ปัจจุบันเมืองสุโขทัยเมืองทุ่งยั้งและเมืองกำแพงเพชรยังเรียกชื่อเดิมอยู่แต่เมืองสองแควเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองพิษณุโลก เมืองสระหลวงเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองพิจิตร เมืองชากังราวครั้งแรกเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองนครชุมแต่ต่อมาได้รวมเป็นเมืองเดียวกับกำแพงเพชรชื่อเมืองชากังราวจึงลบเลือนไป ส่วนเมืองเชลียงได้ย้ายไปเป็นเมืองใหม่และเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองศรีสัชนาลัย
ชื่อเมืองเชลียงยังปรากฎอยู่ในจารึกกฎหมายลักษณะโจรสมัยสุโขทัยด้านที่ ๑ ว่า    “ …ทํเนปรเชลียง กำแพงเพชร ทุ่งย้าง ปากยม สองแคว  และ แคว้นเมืองใหญ่ทั้งหลายทํเนรเชลียงคำว่า  ทํเนรปร  เป็นภาษาเขมรโบราณและไทยโบราณแปลว่า “เป็นต้น”       บทบาทของเมืองเชลียงมีปรากฏสืบมาจนถึงสมัยอยุธยาว่าสมเด็จพระบรมราชาธิราช(เจ้าสามพระยา) โปรดให้พระราเมศวร ราชโอรสขึ้นไปครองเมืองพิษณุโลก บังคับบัญชาหัวเมืองหลวงทั้งปวง ครั้นสมเด็จพระบรมราชาธิราชสวรรคต พระราเมศวร ราชโอรสได้รับราชสมบัติ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเสด็จมาครองกรุงศรีอยุธยาให้เจ้าเมืองเหนือต่างครองเมืองเป็นอิสระแก่กัน เจ้าเมืองเชลียงเป็นขบถไปขึ้นต่อพระเจ้าติโลกราชแห่งเมืองเชียงใหม่ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจึงเสด็จขึ้นมาประทับยังเมืองพิษณุโลกเพื่อทำสงครามกับเชียงใหม่
     สำหรับที่ตั้งเมืองเชลียงนั้น แต่เดิมสันนิษฐานไว้เป็นหลายทาง เช่น เมืองเชลียงนั้นพระยาอุทัยมนตรีสันนิษฐานว่าเป็นเมืองรองแขวงนครลำปรางซึ่งเป็นเมืองเก่า มีพระมหาธาตุขนาดใหญ่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำยม  ดูของเขาก็ชอบคนอยู่ พระยาประชากิจกรจักร(แช่ม) ได้เคยกล่าวเป็นความเห็นว่าเมืองเชลียงนั้น  คือ  เมืองกำแพงเพชรแต่มีข้อเถียงคัดค้านสำคัญอยู่คือ ในพระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับของหลวงประเสริฐอักษรนิติ์  มีข้อความปรากฏในเรื่องเมืองเชลียงนี้ว่าครั้งนั้น (จุลศักราช ๘๒๒ ปีมะโรงโทศก) พระยาเชลียงคิดเป็นขบถ  พาเอาครัวทั้งปวงไปออกแต่มหาราช ต่อนั้นลงมายังมีข้อความไปอีกว่า ศักราช ๘๒๓ มะเส็งศก  พระยาเชลียงนำมหาราชจะเอาเมืองพิษณุโลก เข้าปล้นเมืองเป็นสามารถมิได้เมือง  แล้วจึงยกทัพเป่รอไปเอาเมืองกำแพเพชรและเข้าปล้นเมืองเถิง ๗ วัน  มิได้เมืองและมหาราชก็เลิกทัพกับคืนไปเชียงใหม่  ดังนี้เห็นได้ว่าเมืองเชลียงไม่ใช่เมืองกำแพงเพชร  ถ้าเป็นเมืองกำแพงเพชรจะ พาเอาครัวไปออกแต่มหาราชถึงเชียงใหม่จะดูยากอยู่ และอีกประการหนึ่งยังได้พามหาราชมาตีเมืองกำแพงเพชรอีกเล่า  ด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้น่าเชื่อว่า  เมืองเชลียงเป็นเมืองที่อยู่ในพวกเมืองจังหวัดนอกและใกล้แดนมหาราช  จึงเห็นว่าที่พระยาอุทัยสันนิษฐานเอาเมืองลองเป็นเมืองเชลียงนั้นดูแยบคายบ้าง
     เรื่องที่ตั้งเมืองเชลียงนี้สมเด็จกรมพระยาดำรงราชรนุภาพได้ทรงบันทึกอธิบายเพิ่มเติมไว้ว่าเมืองเชลียงเป็นเมืองสำคัญในพงศาวดารไทย  ด้วยตำนานว่าไทยได้เมืองเชลียงเป็นที่มั่นก่อนแล้วจึงชิงเมืองสุโขทัยได้จากพวกขอมแต่ว่าเมืองเชลียงอยู่ที่ไหนข้อนี้ไม่ทราบกันแน่ชัดมาช้านานบางคนก็สันนิษฐานว่าเป็นเมืองกำแพงเพชร เช่น พระยาประกิจกรจักร (แช่ม บุนนาค) กล่าวไว้ในหนังสือตำนานโยนก ข้าพเจ้าเห็นอย่างเช่นทรงพระราชวินิจฉัยในหนังสือนี้ว่า  ต้องเป็นเมืองต่อแดนกับมณฑลพายัพเจ้าเมืองเชลียงจึงสามรถเทครัวไปเข้ากับพระเจ้าติโลกมหาราชเชียงใหม่มาตีเมืองกำแพงเพชร เมืองสุโขทัยและเมืองพิษณุโลกดังปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดารเรื่องเมืองเชลียงนี้ได้ตรวจหากันมาอีกช้านาน  จึงได้ความเป็นแน่ชัดว่า คือ เมืองสวรรคโลกนั้นเอง เดิมที่เดียวเรียกว่าเมืองเชลียง ตัวเมืองอยู่ตรงที่ยังมีพระปรางค์ศรีรัตนมหาธาตุที่กล่าวถึงในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง  แต่เดียวนี้ชาวเมืองเรียกกันว่าวัดน้อย  ครั้นต่อมาเห็นจะเป็นน้ำเซาะตลิ่งพังชานเมืองหมดไปทุกที่  กษัตริย์ราชวงศ์พระร่วงจึงสร้างเมืองใหม่  บริเวณแก่งหลวงเหนือเมืองเชลียงเดิมขึ้นไปประมาณ ๒๐ เส้น แล้วขนานนามเมืองนั้นว่าเมืองศรีสัชนาลัย  แต่ชาวประเทศอื่นยังคงเรียกเมืองเชลียง  ทั้งพวกเชียงใหม่และพวกกรุงศรีอยุธยา  ดังพึงเห็นได้ในบานแผนกกฎหมายลักษณะลักพาของพระเจ้าอู่ทองและในหนังสือลิลิตยวนพ่าย  ก็เรียกว่าเมืองเชลียงมิได้เรียกว่าศรีสัชนาลัย  มาจนเมืองเหนือทั้งปวงตกเป็นอาณาเขตของกรุงศรีอยุธยา  จึงขนานนามว่า เมืองสวรรคโลก  เรียกรวมทั้งเมืองเชลียงและเมืองศรีสัชนาลัยรวมกัน ชื่อเดิมก็เป็นอันสูญไปทั้งสองเมือง  
สถานที่ตั้งเมืองเชลียงตามพระวินิจฉัยของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นเรื่องที่ตรงกับความจริงที่สุด  ดังพระนิพนธ์ที่ทรงยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า
เมืองเชลียงเป็นเมืองเก่ามีมาก่อนตั้งสุโขทัย  ตัวเมืองเดิมอยู่ที่เมืองสวรรคโลกเก่า  ตรงที่พระปรางค์องค์ใหญ่ปรากฏอยู่จนถึงทุกวันนี้  คำที่พระเจ้ารามคำแหงมหาราชเรียกพระปรางค์องค์นั้นว่าศรีรัตนธาตุความก็หมายว่าพระมหาธาตุที่เป็นหลักเมือง  แสดงวี่ท่ตรงนั้นต้องเป็นเมืองจึงมีพระมหาธาตุ ไม่ใช่แต่เท่านั้น  ที่วัดเจ้าจันทร์ไม่ห่างจากวัดพระศรีรัตนธาตุนัก  ยังมีเทวสถานที่พวกขอมสร้างไว้ปรากฏอยู่แห่งหนึ่ง  ก็แสดงว่าต้องนั้นต้องเป็นเมืองอยู่ก่อนถึงสมัยสุโขทัยจะเป็นรัชกาลใดไม่สามารถทราบได้  ได้สร้างเมืองใหม่มีป้อมปราการก่อด้วยศิลาแลงอย่างมั่นคง  สำหรับราชธานีสำรองขึ้นข้างเหนือเมืองเชลียงอยู่ห่างกันราว ๑ ก.ม.   ขนานนามเมืองใหม่นี้ว่าเมืองศรีสัชนาลัย  บางทีจะรื้อศิลาปราการเมืองไปใช่สร้างเมืองใหม่  คงเหลือไว้แต่ปรางค์ศรีรัตนมหาธาตุซึ่งเป็นของศักดิ์สิทธ์มาแต่เดิม


อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย อยู่เคียงคู่มากับคนศรีสัชนาลัยมาเนิ่นนาน ความสวยงามของสถาปัตยกรรมที่หลากหลายสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชม กอปรกับเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ที่มีความสงบร่มรื่นของแมกไม้ และความเป็นมิตรจากผู้คน
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ตั้งอยู่ในเขตตำบลศรีสัชนาลัย ตำบลสารจิตร ตำบลหนองอ้อ และตำบลท่าชัย อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ตัวเมืองโบราณศรีสัชนาลัย อยู่ในเขตหมู่บ้านพระปรางค์ ตำบลศรีสัชนาลัย โดยอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครไปทางทิศเหนือ ประมาณ 550 กิโลเมตรเมืองโบราณศรีสัชนาลัยมีสภาพภูมิประเทศที่ตั้งของเมืองเป็นที่ราบเชิงเขาพระศรี และ เขาใหญ่ ทางด้านทิศตะวันตก และมีลำน้ำยมอยู่ทางด้านทิศตะวันออก กรมศิลปากรได้กำหนดเขตที่ดินโบราณสถานอุทยานประวัติศาสตร์     ศรีสัชนาลัย ประมาณ 28,217 ไร่
ร่องรอยและรูปลักษณ์ของอดีต  
๑.     เอกลักษณ์ทางด้านศิลปสถาปัตยกรรม  
ศรีสัชนาลัยเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและศาสนามาแต่เดิม   แม้เมื่อเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรสุโขทัย     ชื่อเมืองทั้งสองยังคงถูกขนานนามกล่าวถึงร่วมกันโดยตลอดในจารึกสุโขทัยแสดงถึงฐานะทางการเมืองที่ควบคู่กันมา  จริงอยู่ร่องรอยซากโบราณวัตถุสถานมิได้ใหญ่โตเท่าสุโขทัย    มิใช่ทีสถิตย์ของอารักษ์แห่งเขาหลวงแต่คติความเชื่อที่สัมพันธ์กับความศักดิ์สิทธิ์และความขลังของภูเขายังคงทิ้งร่องรอยอยู่ที่นี้  ที่สำคัญคติความนับถือพระบรมธาตุมีความเก่าแก่กว่าที่อื่นในบริเวณใกล้เคียง    ซึ่งอาจต่อเนื่องกับคติการนับถือพระบรมธาตุตั้งแต่ครั้งสมัยทวารวดี   ในสมัยนั้นนิยมสถาปนาพระสถูปองค์ใหญ่บรรจุพระบรมธาตุ    ดังเห็นได้จากเจดียสถานขนาดใหญ่ที่นครปฐมและคูบัว   ซึ่งเป็นเขตแคว้นศรีทวารดีมีพระบรมธาตุอยู่ภายในวัดพระบรมธาตุเชลียงก็เป็นประจักษ์พยานสำคัญในภาคพื้นนี้    ส่วนที่ศรีสัชนาลัยมีจารึกกล่าวถึงว่า   (๑๒๐๙  ศกปีกุน ให้ขุดเอาพระธาตุออกทั้งหลายเห็นกระทำบูชาบำเรอแก่พระธาตุได้ ๖ วัน    จึงเอาฝังลงในกลางเมืองศรีสัชนาลัย    ก่อพระเจดีย์เหนือ ๖ เข้า  จึงแล้วตั้งเวียงผาล้อมพระมหาธาตุสามเข้าจึงแล้ว) คือมีการรวบรวมพระบรมธาตุมาบรรจุไว้ในเจดีย์ใหญ่ใช้เวลาก่อสร้าง ๖ ปี     ส่วนการก่อกำแพงล้อมนั้นใช้เวลา ๓ ปี 
  

บทที่ ๖
โบราณสถาน
วัดเขาพนมเพลิง
อยู่บนเขาหันหน้าไปทางทิศตะวันออก  เจดีย์ประธานของวัดนี้เป็นเจดีย์ทรงกลมก่อด้วยศิลาแลงบนฐานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างยาวด้านละ 11 เมตร ด้านหน้าของเจดีย์มีอาคารศิลาแลงฐานวิหารก่อด้วยแลง ภายในวิหารมีพระประธานประทับนั่งมีมณฑปศิลาและสี่เหลี่ยมยกพื้นสูง ภายในมณฑปเป็นที่สักการะของชาวบ้าน ซึ่งเรียกศาสนสถานนี้ว่า “ศาลเจ้าแม่ละอองสำลี”   นอกจากนี้มีฐานเจดีย์รายก่อด้วยศิลาแลงจำนวน 6 องค์ บันไดขึ้นเขาอยู่ทางด้านหน้าวัด
         วัดเขาพนมเพลิงเป็นโบราณสถานที่ตั้งอยู่บนยอดเขาเตี้ย ๆ สูงประมาณ 20 เมตรเศษ ใกล้กำแพงเมืองด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทางขึ้นทำเป็นบันไดก่อด้วยศิลาแลง มีเจดีย์ทรงลังกาเป็นประธาน ด้านหน้ามีวิหารขนาด 6 ห้อง และศาลาขนาดเล็กหนึ่งหลัง ต่อจากเจดีย์ประธานเป็นเจดีย์ราย 30 องค์ ด้านนอกมีกำแพงศิลาแลงสูงประมาณ 1 เมตร รายรอบไปด้วยเสาโคมไฟ
ลักษณะของพระเจดีย์องค์ประธาน ทำให้เชื่อได้ว่าน่าจะสร้างขึ้นในระยะเวลาใกล้เคียงกับวัดช้างล้อมคือระยะเริ่มต้นของเมืองศรีสัชนาลัย
ตามตำนานในพงศาวดารเหนือกล่าวถึงเขาพนมเพลิงไว้ว่า เมื่อมหาธรรมราชผู้สร้างเมือง ศรีสัชนาลัยจะทำการสร้างเมืองนั้น ฤาษีสัชนาลัยได้แนะนำให้เอาเขาพนมเพลิงไว้ในเมืองสร้างพรตบูชากุณฑ์ (กูณฑ์บูชาไฟ?) ส่วนข้อเท็จจริงเป็นประการใดไม่ปรากฏแน่ชัด เนื่องจากหนังสือพงสาว-ดารฉบับนี้เพิ่งจะรวบรวมและเรียบเรียงในภายหลัง
วัดเขาพนมเพลิงวัดเขาพนมเพลิง เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนยอดเขาพนมเพลิง ซึ่งเป็นเขาสำคัญและมีความหมายเกี่ยวข้องกับตำนานการสร้างเมืองศรีสัชนาลัย อยู่ภายในอุทยานประวัติศาสตร์และอยู่กลางเมือง  ศรีสัชนาลัย อยู่ภายในอุทยานประวัติศาสตร์และอยู่กลางเมืองศรีสัชนาลัย วัดนี้หันหน้าไปทางทิศตะวันออกตามคติการสร้างศาสนสถานของขอม แม้แต่เจดีย์ประธานของวัดซึ่งเป็นเจดีย์ทรงลังกาก่อด้วยศิลาแลงตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างด้านละ 11 เมตร ก็หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เช่นกัน
ด้านหน้าของเจดีย์มีฐานวิหารและอาหารก่อด้วยศิลาแลงด้วยกันทั้งสองอย่าง สำหรับวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ใกล้กับมณฑปขนาดย่อม เป็นศาสนสถานที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ มีชื่อว่า ศาลเจ้าแม่ละอองสำลี
วัดเขาสุวรรณคีรี
เขาสุวรรณคีรีสูงประมาณ 28 เมตร เป็นเทือกเดียวกับเขาพนมเพลิงถือเป็นเขากลางเมืองศรีสัชนาลัย  วัดเขาสุวรรณคีรีอยู่หลังวัดเขาพนาเพลงไปทางทิศตะวันตก มีบันไดขึ้นเขาอยู่ทางด้านหน้าวัด เจดีย์วัดนี้เป็นเจดีย์ทรงกลมองค์ระฆังขนาดใหญ่ ก่อด้วยแลงบนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างยาวด้านละ 44 เมตร วัดนี้มีกำแพงล้อมรอบวัดเขาสุวรรณคีรีวัดนี้ตั้งอยู่ถัดจากวัดเขาพนมเพลิงไปทางทิศตะวันตกและมีทางเดินเชื่อมต่อกัน โดยอยู่บนยอดเขาอีกยอดหนึ่งสูง 28 เมตรเศษ ในเทือกเดียวกัน ด้านหน้าของวัดเป็นวิหารขนาดเจ็ดห้อง ถัดไปเป็นเจดีย์ทรงลังกา ซึ่งเป็นโบราณสถานหลักของวัด องค์เจดีย์มีซุ้มทั้งสี่ทิศตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสซ้อนกันสามชั้น
สันนิษฐานว่าน่าจะมีอายุไล่เลี่ยกับพระเจดีย์ช้างล้อมที่อาจจะสร้างขึ้นในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงก็ได้ นอกจากนี้ภายในกำแพงเมืองที่อยู่ห่างจากวัดสวนแก้วอุทยานน้อยไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ และค่อนมาชิดกับกำแพงเมืองด้านที่ติดกับแม่น้ำยม พบมีแนวคันดินและคูน้ำแบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วน ๆ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นบริเวณพระราชวังอีกด้วย
วัดเขาสุวรรณคีรี
วัดเขาสุวรรณคีรีตั้งอยู่บนยอดเขาสุวรรณคีรี ซึ่งมีความสูงประมาณ 28 เมตร เป็นวัดบนเขาสูงสุดกลางเมืองศรีสัชนาลัย นักโบราณคดีชื่อว่าเป็นวัดที่ปรากฏอยู่ในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ซึ่งแต่เดิมเคยเชื่อว่าเป็นวัดช้างล้อม ต่อเมื่อทำการขุดค้นแล้วจึงรู้ว่าวัดช้างล้อมมีอายุน้อยกว่าสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช บรรดานักโบราณคดีจึงหันมาพิจารณาวัดเขาสุวรรณคีรีว่า เป็นวัดที่พ่อขุนรามคำแหงขุดพระธาตุแล้วฝังไว้กลางเมืองและก่อเจดีย์ครอบพระธาตุไว้
สาเหตุที่เชื่อว่าเป็นวัดเขาสุวรรณคีรี เพราะวัดนี้เป็นวัดใหญ่และตั้งอยู่กลางใจเมืองศรีสัชนาลัย เจดีย์ของวัดเขาสุวรรณคีรีก็เป็นเจดีย์ทรงลังกาที่มีขนาดใหญ่ก่อด้วยศิลาแลง ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างถึงด้านละ 44 เมตร ซึ่งนับว่ามีขนาดใหญ่โตกว่าเจดีย์วัดช้างล้อมมาก สมควรที่จะเป็นวัดที่สร้างโดยกษัตริย์หรือผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ของสมัยนั้น ซึ่งก็คือพ่อขุนรามคำแหงมหาราชนั่นเอง
วัดช้างล้อม
ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาพนมเพลิง จากศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง (จารึกหลักที่ 1) กล่าวไว้ว่า 
“..... 1207 ศกปีกุน (พ.ศ. 1829) ให้ขุดเอาพระธาตุออก ทั้งหลายเห็นกระทำบูชา บำเรอแก่พระธาตุได้เดือนหกวัน จึงเอาลงฝังในกลางเมืองศรีสัชนาลัย ก่อพระเจดีย์เหนือหกเข้าจึงแล้ว ตั้งเวียงผาล้อมพระธาตุสามเข้าจึงแล้ว.....”
สันนิษฐานกันว่า เจดีย์ที่กล่าวถึงในศิลาจารึกนี้คือ เจดีย์ประธานของวัดช้างล้อมซึ่งเป็นเจดีย์ใหญ่ทรงลังกาก่อด้วยศิลาแลง ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสซ้อนกันสามชั้น ฐานชั้นแรก มีรูปช้างยืนทำด้วยศิลาแลงล้อมรอบจำนวน 39 เชือก ระหว่างช้างแต่ละเชือกมีเสาโคมไฟคั่นอยู่ ฐานชั้นที่สองเป็นลานประทักษิณ ด้านนอกมีพนักลูกกรงทำด้วยศิลาแลงล้อมรอบ โดยรอบฐานชั้นที่สามซึ่งเป็นฐานติดองค์เจดีย์ มีซุ้มสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูป เดิมเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นที่สร้างขึ้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหง ด้านหน้าขององค์เจดีย์มีบันไดขึ้นสู่ลานประทักษิณและองค์เจดีย์
ถัดออกมาเป็นกำแพงแก้วก่อด้วยศิลาแลง รอบองค์เจดีย์ประธานมีประตูสู่ลานเจดีย์ทางด้านหน้าและด้านหลัง ด้านข้างสองด้านทำเป็นประตูหลอก
นอกกำแพงแก้วด้านหน้าเป็นฐานวิหารขนาดใหญ่สองข้างมีซากเจดีย์และวิหารขนาดเล็ก แต่เดิมนั้นทางเดินเข้าสู่วิหารและองค์เจดีย์ประธานคงปูลาดด้วยแผ่นศิลาแลงเป็นลานกว้าง เนื่องจากในการบูรณะครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2500 นั้น ได้พบแผ่นศิลาแลงอยู่ระเกะระกะทั่วไปเป็นจำนวนมากที่พื้นสนามบริเวณวิหาร
บริเวณวัดมีกำแพงอิฐและศิลาแลงล้อมรอบ โดยมีประตูทางเข้าสี่ด้าน
วัดช้างล้อม ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาพนมเพลิง บริเวณกลางเมืองศรีสัชนาลัย เจดีย์ประธานของวัดช้างล้อมซึ่งเป็นเจดีย์ใหญ่ทรงลังกาก่อด้วยศิลาแลง ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสซ้อนกันสามชั้น ฐานชั้นแรกมีรูปช้างยืนทำด้วยศิลาแลงล้อมรอบจำนวน 39 เชือก ฐานชั้นที่สองเป็นลานประทักษิณ ด้านนอกมีพนักลูกกรงทำด้วยศิลาแลงล้อมรอบ ฐานชั้นที่สามซึ่งเป็นฐานติดองค์เจดีย์ มีซุ้มสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูป ด้านหน้าขององค์เจดีย์มีบันไดขึ้นสู่ลานประทักษิณและองค์เจดีย์ ถัดออกมาเป็นกำแพงแก้วก่อด้วยศิลาแลง รอบองค์เจดีย์ประธานมีประตูเข้าสู่ลานเจดีย์ทางด้านหน้าและด้านหลัง ด้านข้างสองด้านทำเป็นประตูหลอก นอกกำแพงแก้วด้านหน้าเป็นฐานวิหารขนาดใหญ่สองข้างมีซากเจดีย์และวิหารขนาดเล็ก บริเวณวัดมีกำแพงอิฐและศิลาแลงล้อมรอบ โดยมีประตูทางเข้าสี่ด้าน นักวิชาการเชื่อกันว่าเป็นวัดที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงสร้างขึ้นพร้อมกับสร้างเมืองศรีสัชนาลัยแห่งนี้ ตามที่กล่าวไว้ในศิลาจารึกหลักที่ 1
วัดช้างล้อม ตั้งอยู่เกือบกึ่งกลางเมืองศรีสัชนาลัย บนที่ราบด้านตะวันออกของเขาพนาเพลิง ชื่อเดิมของวัดนี้จะมีมาอย่างไรไม่ปรากฏแต่ชาวบ้านทั่วไปเรียกกันว่าวัดช้างล้อมสืบทอดกันมา โดยสังเกตจากลักษณะพิเศษขององค์เจดีย์ ซึ่งมีรูปปั้นช้างก่ออิฐถือปูนยืนรายล้อมอยู่ที่ฐานถึง 39 เชือก ช้างเหล่านี้มีลักษณะเป็นประติมากรรมลอยตัว หลุดออกมาจากผนัง เชือกที่อยู่ตรงมุมฐานเจดีย์รูปสี่เหลี่ยมมีลักษณะพิเศษกว่าเชือกอื่น ๆ นั่นคือ มีลวดลายปูนปั้นประดับที่คอ ต้นขาและข้อเท้า ปลายงวงแตะอยู่บนดอกบัวตูม
ธรรมเนียมการสร้างเจดีย์ ซึ่งมีสัตว์ใหญ่รายล้อมอยู่ในส่วนฐานนี้แพร่มาจากลังกา นอกจากช้างแล้ว ยังพบว่ามีผู้สร้างเป็นรูปสิงห์ล้อมรอบฐานเจดีย์ด้วยเช่นกัน สำหรับความเชื่อเรื่องการนำรูปปั้นช้างมารายล้อมรอบฐานเจดีย์วัดต่าง ๆ ในสมัยสุโขทัยนั้น สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากช้างเป็นสัตว์ใหญ่ที่มีพละกำลังและแข็งแรงมาก สามารถค้ำจุนสิ่งต่าง ๆ ไม่ให้ล้มลงได้ เมื่อนำมายืนรอบเจดีย์ก็มีความหมาย่า เป็นการค้ำจุนพระศาสนาให้มั่นคงสืบต่อไป นอกจากนั้นในพุทธประวัติยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับช้างปรากฏอยู่หลายแห่ง เช่น ครั้งที่พระนางสิริมหามายาจะทรงครรภ์ได้พระสุบินเห็นช้าง หรือเรื่องพระพุทธองค์กับช้างนาฬาคีรี นอกจากประติมากรรมรูปช้างแล้ว ยังมีเสา 8 เหลี่ยมสำหรับวางโคมไฟ       สังคโลกตั้งอยู่ระหว่างช้างแต่ละเชือก
เหนือฐานช้างล้อมขึ้นไปเป็นฐานพระ มีซุ้มพระพุทธรูป 20 ซุ้มโดยรอบ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย พุทธศิลป์สุโขทัยทุกซุ้ม แต่ปัจจุบันชำรุดและเสียหายไปจนเหลืออยู่เพียง 2 องค์ อยู่ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ศรีสัชนาลัย ที่ผนังด้านในของซุ้มแต่ละซุ้มมีประติมากรรมนูนต่ำรูปต้นพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งมีความหมายถึง การตรัสรู้ภายในต้นโพธิ์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สำหรับองค์เจดีย์วัดช้างล้อมเป็นทรงระฆัง เหนือองค์ระฆังมีบัลลังก์แสดงให้รู้ว่าเป็นพุทธเจดีย์ ที่ก้านฉัตรซึ่งอยู่ระหว่างบัลลังก์เจดีย์กับปล้องไฉน มีพระพุทธรูปปางลีลาปู้นปั้นประดิษฐานอยู่จำนวน 17 องค์ ซึ่งน่าจะมีความหมายถึงการเสด็จเผยแผ่ศาสนาไปตามที่ต่าง ๆ ทั่วทุกสารทิศของพระพุทธองค์
นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า เจดีย์วัดช้างล้อมนี้คงผ่านการบูรณะหลายครั้ง แรกสร้างอาจไม่มีช้างล้อมรอบฐาน เพราะมีลักษณะบางอย่าง เช่น กำแพงแก้วหนาทึบ มีซุ้มประตู 4 ด้าน คล้ายพระบรมธาตุเมืองเชลียง ที่บริเวณนี้ยังเคยพบร่องรอยมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ด้วย
รอบเจดีย์ช้างล้อมมีกำแพงแกล้ว สูงประมาณ 250 เซนติเมตร หนาทึบ ลักษณะด้านนอกเหมือนเสากลมปักเรียงชิดติดต่อกัน แต่ด้านในเรียบ มีประตูเข้า 4 ด้าน แต่ด้านข้างทั้งสองด้านปิดตัน ช่องประตูด้านหน้าและด้านหลังทำเป็นซุ้มหลังคาทรงมะลิซ้อน 2 ชั้น ถัดขึ้นไปเป็นฐานสี่เหลี่ยม 2 ชั้น ฐานปัทม์และยอดปรางค์ย่อมุมไม้สิบสองเรียงกัน 3 องค์ แต่ปัจจุบันชำรุดเสียเป็นส่วนใหญ่ คงเหลือเพียงปรางค์ด้านทิศเหนือองค์เดียว
สำหรับกำแพงชั้นนอกของวัดช้างล้อมเป็นกำแพงทึบ ก่อด้วยอิฐ มีประตูทางเข้า 4 ประตู ด้านหน้าเป็นซุ้มฐานย่อมุมด้านละ 2 มุม หลังคาทรงมะลิซ้อน 2 ชั้น ยอดปรางค์
ส่วนวิหารของวัดช้างล้อม อยู่สุดทางเดินซึ่งปูด้วยศิลาแลงจากประตูด้านหน้า เป็นวิหารขนาดใหญ่มีมุขทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ผนังวิหารก่อทึบ แต่เว้นช่องให้แสงลอดผ่านได้ตามแบบอย่างการก่อสร้างอาคารสมัยสุโขทัย เชื่อกันว่าพระประธานภายในวิหารวัดช้างล้อมเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยที่มีขนาดหน้าตักกว้างถึง 4 เมตร แต่ปัจจุบันเหลืออยู่เพียงฐานวิหาร เสา และฐานประดิษฐานพระพุทธรูปเท่านั้น
วัดช้างล้อมนี้ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นวัดที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราช สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานพระบรมธาตุตามที่กล่าวไว้ในศิลาจารึก นอกจากนั้นยังเป็นวัดที่อยู่เกือบกึ่งกลางเมืองศรีสัชนาลัย แต่ต่อมาเมื่อนักโบราณคดีได้ขุดค้นวัดช้างล้อม จึงพบว่าน่าจะมีอายุเก่าแก่ที่สุดไม่เกินสมัยพระยาลิไท
วัดช้างล้อม
อยู่บนที่ราบด้านตะวันออกของเขาพนมเพลิง อยู่เกือบกึ่งกลางเมืองศรีสัชนาลัย
กลุ่มโบราณสถานวัดช้างล้อมอยู่ภายในกำแพงศิลาแลงสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 96 เมตร ยาว 128 เมตร ช้างล้อมที่วัดนี้เป็นประติมากรรมปูนปั้นยืนเต็มตัวรวมทั้งหมด 39 เชือก ช้างตรงมุมทั้งสี่มีขนาดใหญ่ตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้นประดับที่คอ ต้นขา และข้อเท้า ช้างเหล่านี้ยืนเต็มตัวแยกออกจากผนังแตกต่างจากช้างล้อมที่อื่น ๆ เช่นที่กำแพงเพชร เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสทรงตั้งข้อสังเกตเรื่องนี้ไว้
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีความเห็นเกี่ยวกับวัดนี้ว่า “การพิจารณาวัดช้างล้อมกับเจดีย์เจ็ดแถว ต่อมาได้หลักฐานเป็นการยุติว่า วัดช้างล้อมนั้นคือวัดที่พระเจ้ารามคำแหงทรงสร้างประดิษฐานพระบรมธาตุ ดังกล่าวไว้ในศิลาจารึก ส่วนเจดีย์เจ็ดแถวนั้นเป็นที่ประดิษฐานของพระอัฐิพระราชวงศ์สุโขทัย...”
จากการสำรวจ รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า องค์พระสถูปปรากฏร่องรอยการบูรณะปฏิสังขรณ์หลายครั้ง เดิมไม่มีช้างล้อมรอบฐานทักษิณซึ่งมีลักษณะคล้ายเป็นฐานปัทม์มาก่อน ที่สำคัญคือ มีลักษณะบางอย่างคล้ายพระบรมธาตุเมองเชลียง เห็นได้จากกำแพงที่ล้อมรอบพระเจดีย์นั้นคล้ายกัน เป็นกำแพงก่อด้วยศิลาแลงหนาทึบที่ประตูมีซุ้ม 4 ด้าน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ศาสนสถานเดิมที่วัดช้างล้อมก็มีอายุเก่าแก่ ร่วมสมัยพระบรมธาตุเชลียง น่าจะเป็นองค์เดียวกันกับพระสถูปบรรจุพระบรมธาตุ ตามที่กล่าวไว้ในจารึกสุโขทัยหลักที่ 1 ว่าพ่อขุนรามคำแหงโปรดให้สถาปนาแล้วก่อเวียงผาล้อม
อย่างไรก็ตาม บริเวณนี้คงมีความสำคัญมาก่อนการสร้างศาสนสถานทางพุทธศาสนา เพราะนักโบราณคดีได้พบร่องรอยของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ที่ตรงนี้ด้วย
วัดสวนแก้วอุทยานน้อย
อยู่ในเมืองทางด้านตะวันออก มีเจดีย์ประธานทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ หลังคามณฑปโค้งแหลมวิหารมีซุ้มพระประกอบด้านหลัง ภายในโถง ซุ้มพระประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัยเหลือเพียงโกลน
วันสวนแก้วอุทยานน้อย อยู่ห่างจากวัดเจดีย์เจ็ดแถวไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนีอ วัดนี้มีคูน้ำและกำแพงศิลาแลงล้อมรอบเช่นกัน ด้านหน้าเป็นวิหาร ด้านหลังซุ้มพระเป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์แบบสุโขทัยและมีเจดีย์รายรอบองค์เจดีประธาน
วัดสวนแก้วอุทยานใหญ่
วัดนี้อยู่ติดวัดเจดีย์เจ็ดแถวในแนวเดียวกับวัดช้างล้อม เหลือร่องรอยเพียงแค่ซากวิหารและโบสถ์ คงเป็นวัดในเมืองที่สำคัญ เป็นศูนย์กลางของกิจกรรมทางศาสนา เทียบได้กับวัดเขาอินทร์นอกเมือง เป็นวัดที่มีผู้กัลปนาอุทิศที่ดินให้เป็นขอบเขตกว้างขวางเหมือนวัดเขาอินทร์ ฐานันดรศักดิ์ของพระผู้ใหญ่ทั้งสองวัดใกล้เคียงกันดังความในเอกสารว่า “...ถ้าหาพระครูธรรมไตรโลก วัดเขาอินทร์แก้วมิได้ ให้พระครูบาโชติวัดอุทยานใหญ่ ขึ้นเป็นพระครูธรรมไตรโลกวัดเขาอินทร์แก้ว”

วัดสวนแก้วอุทยานใหญ่
เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยหลังรัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไท อยู่ถัดจากวัดเจดีย์เจ็ดแถวไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีคูน้ำรอบบริเวณวัด กำแพงวัดเป็นศิลาแลงชั้นเดียว มีประตูทางเข้าสองประตูคือ ประตูด้านทิศตะวันตกและด้านทิศใต้ ด้านหน้าวัดเป็นวิหารศิลาแลงขนาดหกห้อง โดยมีฐานเชื่อมต่อกับเจดียกลมทรงลังกา ซึ่งตั้งอยู่บนฐานปัทม์อีกทีหนึ่ง องค์เจดีย์ด้านหน้ามีบันไดขึ้นไปสู่ลานประทักษิณชั้นบนวัดเจดีย์เจ็ดแถว
อยู่หน้าวัดช้างล้อมทางด้านหน้า จุดเด่นของวัดนี้คือ กลุ่มเจดีย์ประกอบด้วยเจดีย์ทรงดอกบัวหรือทรงพุ่มข้าวบิณฑ์เป็นประธานอยู่ตรงกลางพร้อมเจดีย์รายเป็นแถวหลายรูปแบบ ต่างเป็นต้นเค้าของชื่อเรียกวัดเจดีย์เจ็ดแถว
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้ถ่ายแบบพระเจดีย์ทรงประสาทองค์หนึ่งมาสร้าง อนุสาวรีย์ทหารอาสา บริเวณท้องสนามหลวง หน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร
เป็นที่น่าสังเกตว่าตามเมืองสำคัญต่าง ๆ ในอาณาจักรสุโขทัยนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมัยเมื่อมีการแผ่พระราชอำนาจและเผยแพร่วัฒนธรรมสมัยพระเจ้าลิไท พระองค์ทรงโปรดให้สร้างเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ไว้ นอกจากที่สุโขทัย-ศรีสัชนาลัยแล้วยังพบที่พิษณุโลก ตาก กำแพงเพชร
วัดเจดีย์เจ็ดแถว
วัดเจดีย์เจ็ดแถวตั้งอยู่ในกำแพงเมืองศรีสัชนาลัยเก่า โดยอยู่ถัดจากวัดช้างล้อมมาทางทิศตะวันออก และตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉลียใต้ของตำบลศรีสัชนาลัย อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัยในปัจจุบัน
วัดนี้เป็นวัดโบราณที่มีความสำคัญอันดับ 1 ของศรีสัชนาลัย ในด้านประวัติการก่อสร้างนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในหนังสือเที่ยวเมืองพระร่วง ตามคำบอกเล่าของนายเทียนว่า วัดนี้เดิมชื่อ วัดกัลยานิมิต นางพระยาธิดาพระมหาธรรมราชา (บาธรรมราช) เป็นผู้สร้างขึ้น เมืองศรีสัชนาลัยเป็นเมืองร้างมานานนับเป็นร้อย ๆ ปี ไม่มีหลักฐานที่จะรู้ชื่อเดิมของวัด เนื่องจากภายในบริเวณวัดมีเจดีย์มากจึงเรียกชื่อในภายหลังว่า วัดเจดีย์เจ็ดแถว
วัดเจดีย์เจ็ดแถวสร้างตามแบบแผนการสร้างวัดสำคัญของสมัยสุโขทัย กล่าวคือ มีคูน้ำและกำแพงศิลาแลงล้อมรอบถึงสองชั้นแต่ปัจจุบันคูน้ำตื้นเขิน คงเหลือเพียงร่องรอยกำแพงศิลาที่ล้อมรอบอยู่ทั้งสองชั้นเท่านั้น อาณาเขตของวัดเจดีย์เจ็ดแถวมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งเป็นแบบแผน การสร้างสถาปัตยกรรมสมัยสุโขทัย มีความกว้าง 94 เมตร ยาว 136 เมตร และมีกำแพงแก้วก่อด้วย  ศิลาแลง กว้าง 57 เมตร ยาว 88 เมตร ล้อมรอบอีกชั้นหนึ่ง ที่กำแพงมีช่องเข้าออกเป็นประตูทั้ง 4 ด้าน
ภายในวัดซึ่งอยู่หลังกำแพงชั้นใน มีเจดีย์เรียงรายกันอยู่หลายแถว ทั้งที่ยังมีสภาพสมบูรณ์และปรักพังชำรุดเหลือเพียงฐาน สำหรับกลุ่มเจดีย์ภายในวัดเจดีย์เจ็ดแถวนี้ นักโบราณคดีสรุปว่ามีอยู่ด้วยกัน 3 กลุ่มคือ กลุ่มเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์หรือทรงดอกบัวตูม กลุ่มเจดีย์ทรงปราสาท และกลุ่มเจดีย์ทรงลังกา
สำหรับเจดีย์ที่ถือว่าเป็นประธานของวัดอยู่ในกลุ่มเจดีย์ทรงพุ่มข้าว ตั้งอยู่เกือบกึ่งกลางพื้นที่ของวัด ผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างยาวด้านละ 24 เมตร ส่วนล่างเป็นฐานเขียงขนาดใหญ่ซ้อนกันหลายชั้น โดยสอบเข้ารับฐานบัว ส่วนกลางเป็นเรือนธาตุทรงแท่งสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมไม้ยี่สิบ เหนือเรือนธาตุมีกลีบขนุนและกลีบบัวประดับ เหนือเรือนธาตุขึ้นไปอีก ส่วนบนเป็นทรงดอกบัวตูม มองเห็นร่องรอยของกลีบแต่ละกลีบที่วางซ้อนกันได้อย่างชัดเจน ส่วนยอดเป็นวงแหวนเรียงซ้อนกันขึ้นไปรับปลียอดอย่างกลมกลืน
เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ (ทรงดอกบัวตูม) ในวัดเจดีย์เจ็ดแถวยังมีอีกหลายองค์ แต่ส่วนใหญ่ปรักหักพังลงเหลือเพียงฐานได้แก่ เจดีย์รายองค์ที่สองจากมุมด้านตะวันออกเฉียงเหนือของเจดีย์ประธาน และเจดีย์รายองค์ที่สองจากมุมด้านตะวันออกเฉียงใต้ของเจดีย์ประธาน ซึ่งเจดีย์ทั้งสองนี้เหลือร่องรอยเพียงฐานเท่านั้น อย่างไรก็ตาม นักโบราณคดีก็สามารถสันนิษฐานได้ว่า รูปแบบเต็มของเจดีย์รายทั้งสององค์นี้จะใกล้เคียงกับเจดีย์ประธาน ซึ่งเป็นแบบเดียวกับพระมหาธาตุเจดีย์ในวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย
สำหรับเจดีย์รายที่ตั้งเรียงอยู่โดยรอบมีทั้งสิ้น 33 องค์ นักโบราณคดีเชื่อว่า เจดีย์เหล่านี้สร้างขึ้นในเวลาต่าง ๆ กัน เพื่อบรรจุอัฐิธาตุเจ้านาย และข้าราชบริพารระดับสูงในราชวงศ์พระร่วง สมัยสุโขทัย จึงทำให้เจดีย์แต่ละองค์มีลักษณะ และรูปแบบแตกต่างกันไปตามอิทธิพลทางศิลปะที่แพร่กระจายอยู่ในขณะนั้น ซึ่งได้แก่ ศรีวิชัย ลังกา และพุกาม ส่วนกระบวนการในการก่อสร้างนั้น มีขั้นตอนและแบบอย่างคล้ายกัน กล่าวคือ ทำด้วยศิลาแลง ตกแต่งซุ้มพระด้วยลวดลายปูนปั้น
เจดีย์รายที่มีเรือนยอดหรือเรือนชั้น ซึ่งมีแบบอย่างมาจากพุกามและล้านนานั้น นักโบราณคดีจัดให้เป็นเจดีย์รายในกลุ่มปราสาท ภายในวัดเจดีย์เจ็ดแถวมีเจดีย์รายในกลุ่มนี้หลายองค์ โดยเฉพาะเจดีย์ใหญ่ ๆ ประจำมุมทั้งสี่ เช่น เจดีย์รายที่มุมด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ถือว่าเป็นเจดีย์ในกลุ่มปราสาทที่สมบูรณ์ที่สุด
เจดีย์รายด้านเหนือ ส่วนล่างเป็นฐานเขียงรองรับฐานบัวลูกฟัก ส่วนกลางมีฐานเขียงเล็กเรียงซ้อนกัน เสริมให้เรือนธาตุสูงเด่นขึ้น รอบเรือนธาตุทั้งสี่ทิศมีซุ้มจระนำประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้น ปางลีลา ปัจจุบันชำรุด
ผนังภายในคูหา เคยมีจิตรกรรมฝาผนังเป็นภาพพุทธประวัติ ตอนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผจญมาร มีเทวดากำลังอัญชลีอยู่ข้าง ๆ และภาพพระพุทธองค์ประทับนั่งเป็นลักษณะเฉพาะของศิลปะสุโขทัย แสดงถึงฝีมือช่างชั้นครู
สำหรับภาพจิตรกรรมฝาผนังนี้ นอกจากเจดีย์รายด้านทิศเหนือแล้ว ในเจดีย์รายด้านทิศใต้ และทิศตะวันตกก็มีอยู่เช่นกัน เป็นภาพพุทธประวัติฝีมือช่างพื้นบ้านที่ได้รับอิทธิพลจีน
ปัจจุบันภาพจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้ลบเลือนเกือบหมดแล้ว แต่กรมศิลปากรได้มอบให้ นายเฟื้อ หริพิทักษ์ ศิลปินแห่งชาติ คัดลอกภาพดังกล่าว เก็บรักษาและจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย
ด้านทิศตะวันออกของเจดีย์ประธานมีฐานพระวิหารขนาดใหญ่ก่อด้วยศิลาแลง ตามแบบแผนการก่อสร้างสถาปัตยกรรมสุโขทัย คือ ผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 16 เมตร ยาย 44 เมตร ส่วนฐานพระอุโบสถของวัดอยู่ทางด้านหลัง มีขนาดกว้าง 12 เมตร ยาว19 เมตร
วัดเจดีย์เจ็ดแถว เป็นกลุ่มโบราณสถานที่อยู่กลางเมือง อยู่ถัดจากวัดช้างล้อมไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ บริเวณวัดมีคูน้ำและกำแพงศิลาแลงสองชั้นล้อมรอบ เจดีย์ประธานของวัดนี้เป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ มีมณฑปและเจดีย์บริวารแบบต่าง ๆ อีก 33 องค์ เจดีย์แต่ละองค์นั้นมีลักษณะและรูปแบบแตกต่างไป เช่น เจดีย์ทรงกลมแบบลังกาและเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์แบบสุโขทัย เป็นต้น เจดีย์ส่วนใหญ่จะก่อด้วยศิลาแลง ใช้ลวดลายปูนปั้นตกแต่งและมีซุ้มพระประกอบ
ทางด้านเหนือของเจดีย์ประธานมีมณฑปเครื่องบนหรือเรือนยอดทำเป็นปรางค์ผสมเจดีย์ (องค์ระฆัง) ด้านหน้าทำเป็นซุ้มประตูทางเข้า มีคูหาไว้พระพุทธรูปอยู่ภายใน ด้านหลังทำเป็นซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปนาคปรกปูนปั้น ที่ผนังภายในคูหาที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นประทับยืนนั้นมีภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างสุโขทัย แต่ปัจจุบันลบเลือนเกือบหมดแล้ว
ด้านหน้าเจดีย์ประธานเป็นวิหารขนาดใหญ่และมีกำแพงแก้วล้อมรอบวิหาร เจดีย์ประธานและเจดีย์รายถัดจากกำแพงแก้วไปทางด้านหลังวัดเป็นโบสถ์และศาลารูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ซึ่งเหลือเพียงแต่ฐานเท่านั้น
สันนิษฐานว่าคงจะเป็นวัดที่สร้างขึ้นภายหลังวัดช้างล้อม และในรัชสมัยพระมหาธรรมราชาลิไท ซึ่งพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง สิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่คงจะได้รับการก่อสร้างในสมัยนั้น
วัดเจดีย์เจ็ดแถว อยู่ถัดจากวัดช้างล้อมไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ บริเวณวัดมีคูน้ำและกำแพงศิลาแลงสองชั้นล้อมรอบ
เจดีย์ประธานของวัดนี้เป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ มีมณฑปและเจดีย์บริวารแบบต่าง ๆ อีก 33 องค์ เจดีย์แต่ละองค์นั้นมีลักษณะและรูปแบบแตกต่างไปตามอิทธิพลศิลปะที่ได้รับ เช่น เจดีย์อิทธิพลศิลปะศรีวิชัยและลังกา แต่เครื่องประดับยอดซุ้มตรงกลางเป็นแบบพม่าที่เมืองพุกาม เจดีย์ทรงกลมแบบลังกา และเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์แบบสุโขทัย เป็นต้น เจดีย์ส่วนใหญ่จะก่อด้วยศิลาแลง ใช้ลวดลายปูนปั้นตกแต่งและมีซุ้มพระประกอบ
ทางด้านเหนือของเจดีย์ประธาน มีมณฑปเครื่องบนหรือเรือนยอดทำเป็นปรางค์ผสมเจดีย์ (องค์ระฆัง) ด้านหน้าทำเป็นซุ้มประตูทางเข้า มีคูหาไว้พระพุทธรูปอยู่ภายใน เป็นพระพุทธรูปประทับยืนปูนปั้นนูนสูง ด้านข้างประตูทำเป็นช่องคูหาตื้น ๆ ข้างละช่อง ประดิษฐานพระพุทธรูปปางลีลาปูนปั้นนูนสูง ด้านหลังทำเป็นซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปนาคปรกปูนปั้น ที่ผนังภายในคูหาที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นประทับยืนนั้น มีภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างสุโขทัย แต่ปัจจุบันลบเลือนเกือบหมดแล้ว กรมศิลปากรจึงได้คัดลอกภาพดังกล่าวเก็บรักษาและจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรามคำแหง จังหวัดสุโขทัย
ด้านหน้าเจดีย์ประธานเป็นวิหารขนาดใหญ่และมีกำแพงแก้วล้อมรอบวิหาร เจดีย์ประธานและองค์เจดีย์รายถัดจากกำแพงแก้วไปทางด้านหลังวัดเป็นโบสถ์และศาลารูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสซึ่งเหลือเพียงแต่ฐานเท่านั้น


วัดนางพญา
อยู่ต่อจากวัดสวนแก้วอุทยานใหญ่ ใกล้กับกำแพงเมืองด้านทิศใต้ จุดเด่นของวัดนี้คือเจดีย์ประธานทรงกลมบนฐานสูงมาก เดิมคงมีการสร้างรูปสัตว์ปูนปั้นประดับสลับกับเสาตามประทีป
วิหารวัดนี้มีลวดลายปูนปั้นประดับผนังและซีกหน้าต่างด้านนอก ผนังวิหารเป็นแบบเจาะช่องแสงลวดลายรูปปั้นที่หลงเหลืออยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้นั้นงดงามมาก คำบรรยายในหนังสือเที่ยวเมืองพระร่วงว่า “...ที่ลูกกรงปั้นเป็นลายรักร้อยแข็งสิงห์ประจำยามดอกจันทร์ที่ผนังทึบหว่างช่องลูกกรงมีเป็นลายรักร้อยประจำยามเทพประนม ลายเหล่านี้ปั้นด้วยปูนติดอยู่กับแลง...”
ชื่อ “นางพญา” ในที่นี้เล่ากันว่าหมายถึงนางพสุจเทวี ธิดาพระยากรุงจีน มเหสีของพระร่วง
วัดนางพญา อยู่ถัดจากวัดสวนแก้วอุทยานใหญ่ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ บริเวณวัดมีกำแพงศิลาแลงล้อมรอบ มีประตูทางเข้าสามประตูคือ ด้านตะวันออกเฉียงใต้และด้านทิศเหนือ 2 ประตู
ด้านหน้าวัดเป็นวิหารขนาดเจ็ดห้องก่อด้วยศิลาแลง ผนังด้านตะวันตกเฉียงเหนือยังทรงรูปอยู่สามห้องซึ่งบนผนังและช่องลูกกรงนี้มีลวดลายปูนปั้นเป็นลายเครือเถางดงาม และที่เสาสี่เหลี่ยมใหญ่ด้านหน้าก็มีลวดลายปูนปั้นแบบเดียวกัน ต่อจากวิหารบนฐานเดียวกันเป็นเจดีย์กลมทรงลังกา ซึ่งตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสอีกชั้นหนึ่ง และที่ลานทักษิณด้านตะวันออกของเจดีย์นี้มีซุ้มประตูเข้าไปสู่ภายในเจดีย์ซึ่งเดินวนไปรอบ
ลวดลายปูนปั้นที่พบที่วัดนี้มีความสวยงามเป็นลักษณะพิเศษที่ไม่ใคร่พบในวัดต่าง ๆ ของเมืองสุขัยและศรีสัชนาลัย ลวดลายแบบนี้จะพบมากในภาคเหนือหรือในเขตแคว้นล้านนาทำให้สันนิษฐานว่า อาจจะเป็นวัดที่สร้างขึ้นในช่วงเวลาที่ล้านนายึดครองศรีสัชนาลัยในสมัยอยุธยา
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า วัดพระปรางค์ ตั้งอยู่ทางทิศตะวัน-ออกของเมืองศรีสัชนาลัยติดกับริมแม่น้ำยม ใกล้เมืองเชลียงซึ่งเป็นเมืองโบราณของบริเวณนี้ นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง สร้างขึ้นตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 18 – 19
โบราณสถานของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียงมีหลายอย่าง แต่ที่สำคัญและเป็นสัญลักษณ์เด่นของวัด ได้แก่ พระปรางค์องค์ใหญ่ ก่อด้วยศิลาแลงฉาบปูน องค์ปรางค์ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมย่อมุม ด้านหน้ามีบันไดขึ้นไปสู่ซุ้มประตูเข้าองค์ปรางค์ ซึ่งภายในเจดีย์ขนาดเล็กประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุตั้งอยู่กลางห้อง ปรางค์นี้สันนิษฐานว่าแต่เดิมคงเป็นปรางค์ขอม ต่อมาได้ปฏิสังขรณ์ในสมัยต้นอยุธยา โดยยังรักษารูปทรงปรางค์ไว้ หากเพิ่มความสูงเพรียวตามแบบอย่างของไทยมากขึ้น
ด้านหน้าองค์ปรางค์ทางทิศตะวันออก เป็นที่ตั้งของพระวิหารหลังใหญ่ขนาดเจ็ดห้อง ก่อด้วยศิลาแลงตามแบบการสร้างสถาปัตยกรรมสุโขทัย กล่าวคือ มีการเจาะช่องเล็ก ๆ ไว้บนกำแพงเพื่อใช้เป็นที่ระบายอากาศและให้แสงสว่างสาดเข้าไปภายในพระวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปปูนประทับนั่ง ปางมารวิชัย พระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในสมัยสุโขทัยมีลักษณะงดงามมากและเป็นพระพุทธรูปประธานของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียงด้วย
ใกล้กับพระพุทธรูปประธาน มีพระพุทธรูปปูนปางลีลาขนาดใหญ่ พุทธศิลป์สุโขทัยเช่นกัน จัดเป็นพระพุทธรูปปางลีลาที่งดงามที่สุดองค์หนึ่งของสมัยสุโขทัย
รอบองค์ปรางค์และพระวิหารมีซุ้มพระและเจดีย์ทิศซุ้มพระด้านตะวันตกเฉียงใต้และตะวันออกเฉียงเหนือ เคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปางนาคปรก บนซุ้มประตูกำแพงแก้วด้านหน้าและด้านหลัง มีลวดลายปูนปั้น ศิลปกรรมแบบบายน เป็นรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรทั้งสี่ด้าน ล่างลงมาเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งเหนือนางอัปสรที่กำลังร่ายรำ สำหรับยอดซุ้มประตูทางเข้าของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียงนี้ ชาวบ้านเชื่อกันว่า ผู้ใดเดินลอดผ่านจะบังเกิดความสิริมงคล
ด้านหลังองค์ปรางค์มีฐานเจดีย์ทรงลังกาขนาดใหญ่ชำรุดเหลือองค์ระฆังตั้งอยู่บนฐานแปดเหลี่ยม ถัดไปเป็นมณฑปภายในประดิษฐานพระอัฏฐารส เป็นพระพุทธรูปปูนประทับยืน ด้านซ้ายของมณฑปพระอัฏฐารสมีฐานวิหารก่อด้วยศิลาแลง เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนประทับนั่ง ปางมารวิชัย ศิลปกรรมสมัยสุโขทัยที่งดงามมากสององค์ องค์แรกมีขนาดกลาง องค์หลังมีขนาดใหญ่ ทำให้ชาวบ้านเรียกวิหารนี้ว่าวิหารสองพี่น้อง
ด้านหลังขององค์ปรางค์ยังมีเจดีย์ที่สำคัญอีกองค์หนึ่งก่อด้วยศิลาแลงทั้งองค์ ทรวดทรงคล้ายเจดีย์มอญ แต่ความจริงเป็นเจดีย์ที่ยังสร้างไม่เสร็จ ชาวบ้านเรียกกันว่าเจดีย์มุเตา หรือเจดีย์พระลือ
ด้านนอกเป็นพระอุโบสถหลังปัจจุบันที่สร้างขึ้นบนซากพระอุโบสถหลังเก่า มีกุฏิหลังย่อมประดิษฐานพระร่วงพระลือ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง  วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง เป็นศาสนสถานที่สำคัญที่สุดในเมืองเชลียง พระบรมธาตุที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้เป็นพระสถูปทรงปรางค์ ตั้งอยู่บนฐานสูงเป็นประปรางค์ศิลปะแบบอยุธยา โดยทั่วไปเข้าใจว่าแต่เดิมพระบรมธาตุเมืองเชลียงแห่งนี้คงจะมีลักษณะเป็นปราสาทแบบเขมร สร้างขึ้นเนื่องในพุทธศาสนาฝ่ายมหายานเช่นเดียวกับวัดพระพายหลวง เมืองสุโขทัย ต่อมาได้ถูกซ่อมแซมและเปลี่ยนแปลงรูปทรงของปรางค์ประธานในสมัยอยุธยาตอนต้น เชื่อกันว่าน่าจะเป็นช่วงรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และได้รับการบูรณะอีกครั้งปลายสมัยอยุธยาในรัชสมัยพระเจ้าบรมโกศ ซึ่งร่องรอยหลักฐานที่ยืนยันดังกล่าวได้คือกำแพงศิลาแลงและซุ้มประตูที่ล้อมรอบพระวิหารและพระบรมธาตุนั้นมีลวดลายปูนปั้นเป็นแบบศิลปะเขมร พระสถูปศิลาจำลองบนยอดซุ้มประตูของกำแพงแลงที่เหลืออยู่ ซึ่งเป็นลักษณะของศิลปะเขมรแบบบายนนั้นเชื่อกันว่าคงจะเป็นรูปจำลองของสถูปหรือปราสาทองค์เดิม ส่วนสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ที่อยู่รายรอบคงได้รับการสร้างเพิ่มเติมในภายหลัง
พระบรมธาตุเมืองเชลียงนั้นจะสร้างแต่ครั้งใดและใครเป็นผู้สร้างนั้น จากหลักฐานที่พบได้ในขณะนี้ปรากฏข้อความอยู่ในศิลาจารึกวัดศรีชุม ซึ่งถือว่าเป็นจารึกที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดหลักหนึ่งของสุโขทัย กล่าวไว้ในตอนต้นว่าในสมัยพ่อขุนศรีนาวนัมถมนั้น มีการสร้างพระบรมธาตุขึ้น ณ เมืองสุโขทัย ศรีสัชนาลัย และสระหลวง สองแคว หากวิเคราะห์จากหลักฐานที่ปรากฏแล้วจะเห็นว่าที่เมืองสุโขทัยก็คงจะเป็นพระบรมธาตุเจดีย์องค์ประธานวัดมหาธาตุองค์เดิมที่ก่อนจะถูกสร้างครอบเปลี่ยนมาเป็นเจดีย์รูปทรงดอกบัวหรือพุ่มข้าวบิณฑ์ ส่วนที่เมืองศรีสัชนาลัยก็คงจะเป็นพระบรมธาตุเมืองเชลียงนี้นั่นเอง ซึ่งรูปทรงของพระบรมธาตุทั้งสองแห่งก็คงจะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน คือ เป็นพระปรางค์หรือปราสาทศิลปะเขมรแบบบายน ดังเช่นสถูปจำลองที่ปรากฏบนซุ้มประตูวัดพระศรีรัตน-มหาธาตุเชลียง ซึ่งถ้าหากเป็นการสร้างขึ้นในสมัยพ่อขุนศรีนาวนัมถมจริง พระบรมธาตุเมืองเชลียงดังกล่าวนี้ก็คงจะมีอายุการสร้างอยู่ในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่งของ พ.ศ. 1750-1800 ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวนี้กลุ่มบ้านเมืองในแถบนี้ได้รวมตัวเป็นกลุ่มบ้านเมืองแว่นแคว้นและมีความสำคัญมากขึ้นโดยมีเมืองเชลียงเป็นเมืองสำคัญและศูนย์กลางของแคว้น
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง  สิ่งสำคัญภายในวัดมีปรางค์องค์ใหญ่เป็นหลักหรือเป็นประธานของวัด ด้านหน้ามีบันไดขึ้นไปสู่ซุ้มประตูเข้าองค์ปรางค์ ซึ่งมีปรางค์องค์เล็กที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุตั้งอยู่กลางห้อง สันนิษฐานกันว่าเดิมคงเป็นปรางค์ขอม ต่อมาได้สร้างใหม่ตรงที่เดิมในสมัยอยุธยาตอนต้น อาจเป็นในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถมาบูรณะอีกครั้งในรัชสมัยพระเจ้าบรมโกศ องค์ปรางค์นี้ก่อด้วยศิลาแลงตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมย่อมุม มีระเบียงคดสองชั้นล้อมรอบ
ด้านหน้าขององค์ปรางค์ทางทิศตะวันออกเป็นวิหารใหญ่ขนาดเจ็ดห้องสร้างด้วยศิลาแลง หน้าต่างเจาะเป็นช่องเล็ก ๆ เลียนแบบเครื่องไม้เช่นเดียวกับผนังระเบียบคด
ด้านขวาพระประธานในวิหารนี้ มีพระพุทธรูปลีลาปูนปั้นศิลปะสุโขทัย ซึ่งถือกันว่าเป็นพระพุทธรูปลีลาที่งามที่สุดองค์นึ่งในศิลปะสุโขทัย อาจปั้นขึ้นในสมัยสุโขทัยตอนต้น แต่ขอบสบงที่บั้นพระองค์คงมาซ่อมในสมัยอยุธยา
รอบองค์ปรางค์และวิหารมีเจดีย์ทิศและซุ้มพระโดยเฉพาะในซุ้มพระด้านทิศตะวันออก เฉียงเหนือและด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของวิหาร ยังปรากฏพระพุทธรูปนาคปรกปูนปั้น ของเดิมคงมีมาแล้วตั้งแต่สมัยสุโขทัยแต่มาซ่อมใหม่ในสมัยอยุธยา
ถัดจากเจดีย์ทิศและซุ้มพระออกมา มีกำแพงแก้วทำด้วยศิลาแลงทั้งแท่ง ทำเลียนแบบเครื่องไม้ลักษณะคล้ายเสากลมเรียงติดต่อกันเป็นกำแพง ปิดทับด้านบนด้วยศิลาแลงทำเป็นรูปคล้ายหลังคา ที่ซุ้มประตูด้านหน้าและด้านหลังมีลวดลายปูนปั้นประดับ
ด้านหลังองค์ปรางค์มีฐานเจดีย์ทรงกลมขนาดใหญ่ตั้งซ้อนอยู่บนฐานแปดเหลี่ยมอีกทีหนึ่ง ถัดเจดีย์องค์นี้ไป มีพระอัฏฐารศองค์หนึ่งซึ่งได้รับการซ่อมแซมแล้วเมื่อปี พ.ศ. 2500 และใกล้กับพระอัฏฐารศนี้มีฐานวิหารซึ่งชาวบ้านเรียกว่า วิหารสองพี่น้อง เนื่องจากภายในวิหารยังมีพระประธานเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นประทับนั่ง 2 องค์ เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นศิลปะสุโขทัยที่งดงามทั้ง 2 องค์ถึงแม้จะมีการซ่อมแซมแล้วก็ตาม
วัดนี้เป็นวัดสำคัญของเมืองเชลียงปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกหลักที่ 1 และในสมัยกรุงธนบุรีเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จไปปราบชุมนุมเจ้าพระฝางเมืองสวางคบุรีแล้ว ได้เสด็จมาสมโภชพระบรมธาตุเมืองเชลียงนี้ด้วย และวัดนี้ยังเป็นที่สวดน้ำมูรธาภิเษก สำหรับพระเจ้าแผ่นดินมาแต่ครั้งโบราณกาล
นักโบราณคดีสันนิษฐานวา วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียงนี้ มีอายุก่อนสมัยสุโขทัย และคงจะเป็นรุ่นเดียวกับปรางค์วัดพระพายหลวงที่เมืองเก่าสุโขทัย โดยแต่เดิมคงสร้างเป็นพุทธสถานในลัทธิมหายาน เมื่อถึงสมัยสุโขทัยได้ดัดแปลงมาเป็นวัดในพุทธศาสนาลัทธิหินยาน
วัดชมชื่น
วัดชมชื่นตั้งอยู่นอกเมืองศรีสัชนาลัยไปทางด้านทิศตะวันออกใกล้กับวัดเจ้าจันทร์และวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง สำหรับบริเวณวัดชมชื่นนี้เคยขุดพบโครงกระดูกมนุษย์ 12 โครง ประมาณอายุว่าอยู่ในช่วงปลายสมัยก่อนประวัติศาสตร์ นักโบราณคดีสันนิษฐานจากลักษณะการนอนและการฝังศพว่าเป็นยุคที่ยังไม่ได้รับอิทธิพลทางพุทธศาสนาและเชื่อว่าบริเวณวัดชมชื่นนี้น่าจะเป็นชุมชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่มีมาตั้งแต่สมัยทวาราวดี เมื่อทวารวดีเสื่อมลงก็พัฒนากลายเป็นขอม
สำหรับวัดชมชื่นมีโบราณสถานที่สำคัญคือ เจดีย์ทรงลังกาก่อด้วยศิลาแลงซึ่งหักพังลงเหลือแค่องค์ระฆัง เป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน ตั้งอยู่บนฐานเหลี่ยม 4 ชั้น นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า เจดีย์องค์นี้สร้างคร่อมทับปราสาทศิลาแลงไว้
โบราณสถานที่มีความสมบูรณ์ที่สุดของวัดชมชื่น ได้แก่ มณฑปขนาดกลาง ก่ออิฐถือปูน หลังคาสามเหลี่ยมแหลม ประตูโค้งกลีบบัว ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ด้านหน้ามณฑปเป็นฐานวิหารยกพื้นเตี้ย ๆ ก่อด้วยศิลาแลง
วัดพญาดำ
วัดพญาดำ ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองศรีสัชนาลัยไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ บางแห่งเรียกวัดป่าพญาดำ ด้วยเป็นวัดในเขตอรัญวาสี วัดพญาดำนี้มีชื่อจริงปรากฏในศิลาจารึกว่า วัดกัลยาวนาวาส ชาวบ้านขนานนามให้ว่า วัดเศรษฐี เพราะมีผู้พบกรุพระเครื่องและพระพิมพ์มากมาย โดยเฉพาะพระพิมพ์นางพญาซึ่งเป็นเนื้ออิฐแกร่งสีดำ จึงเป็นที่มาให้ชาวบ้านพากันเรียกขานวัดนี้ในเวลาต่อมาว่า วัดพญาดำ
โบราณสถานสำคัญของวัดพญาดำ ได้แก่ มณฑปขนาดใหญ่สร้างเป็นรูปลักษณะคล้ายกูบช้าง ด้านหน้าและด้านหลังสร้างเป็นคูหาประดิษฐานพระพุทธรูป ฐานมณฑปเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสคล้ายมณฑปวัดศรีชุม สุโขทัย แต่มีหลังคาโค้งกลีบบัวภายในก่อผนังกั้นกลางมณฑปเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ทั้งสองด้าน สำหรับผนังด้านหน้าเป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนปางลีลาขนาดใหญ่ ผนังด้านหลังเป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนประทับยืนขนาดเดียวกัน แต่ปัจจุบันพระพุทธรูปทั้งสององค์ปรักหักพังหมดสิ้น
ด้านหน้าของพระมณฑปมีฐานพระวิหารยกพื้น ก่อและปูด้วยศิลา ปัจจุบันหลงเหลือเพียงเสาบางส่วน
วัดยายตา
วัดยายตาตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองศรีสัชนาลัย ใกล้กับวัดพรหมสี่หน้าและวัดสระไข่น้ำ จัดเป็นวัดใหญ่ที่มีอายุน้อยที่สุดของศรีสัชนาลัย เพราะเพิ่งจะมาสร้างขึ้นในช่วงปลายสมัยสุโขทัย หรือสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น
เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2534 มีการขุดแต่งบริเวณวัดยายตา ได้พบลูกกรงสังคโลกซึ่งมีอักษรจารึกอยู่ จึงทำให้สามารถกำหนดอายุของวัดยายตานี้ได้ว่า สร้างขึ้นในสมัยสุโขทัยตอนปลาย
โบราณสถานของวัดยายตามีหลายอย่าง แต่ที่เด่นชัดและได้รับการยกย่องว่าเป็นโบราณสถานสำคัญของวัดนี้คือ มณฑปประธานของวัดที่สร้างด้วยศิลาแลงขนาดใหญ่ หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผา ซึ่งทำกันมากในศรีสัชนาลัย ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัยขนาดใหญ่เต็มพื้นที่บนผนังวิหารด้านหน้ามีภาพปูนปั้นเรื่องพุทธประวัติเหมือนที่เสามณฑป
นอกจากลวดลายปูนปั้นพุทธประวัติแล้ว ยังมีลวดลายปูนปั้นพันธุ์พฤกษา ซึ่งมีลักษณะคล้ายลวดลายปูนปั้นที่ผนังวิหารวัดนางพญาภายในเมืองศรีสัชนาลัย นอกจากนั้นยังมีฐานพระวิหารก่อด้วยศิลาแลง หลังวิหารมีลานปลูกต้นศรีมหาโพธิ ลานนี้ปูลาดด้วยศิลาแลง ประดิษฐานซุ้มพระขนาดเล็ก
วัดสระไข่น้ำ
วัดสระไข่น้ำตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกนอกเมืองศรีสัชนาลัยใกล้กับวัดราหูและวัดยายตา แต่เดิมชื่ออะไรไม่มีใครรู้จัก เพิ่งจะมาเรียกกันว่า วัดสระไข่น้ำ ตามลักษณะของสระที่มีอยู่ในวัดในชั้นหลัง
วัดนี้มีเจดีย์ทรงลังกาขนาดใหญ่ ก่อด้วยศิลาแลง และมณฑปที่มีหลังคาและประตูโค้งแบบกลีบบัว อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมณฑปศรีสัชนาลัย มีซุ้มพระ 4 ซุ้ม และมีวิหารโถงอยู่หน้ามณฑปด้วย
วัดสระปทุม
วัดสระปทุมตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองศรีสัชนาลัย ใกล้วัดพญาดำ นอกจากเป็นวัดในเขตอรัญญิกเช่นเดียวกับวัดพญาดำแล้ว ยังมีมณฑปขนาดใหญ่ที่มีรูปทรงเหมือนกับมณฑปของวัดพญาดำด้วยผิดกันเพียงว่าหลังคามณฑปวัดสระปทุมเป็นหลังคายอดแหลมไม่ได้เป็นหลังคาทรงกลีบบัวเหมือนกับวัดพญาดำ ส่วนภายในมณฑปไม่ได้แบ่งออกเป็นสองห้อง และไม่ได้ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนและพระพุทธรูปปางลีลา แต่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางลีลาขนาดใหญ่เพียงองค์เดียว
ด้านหน้าของมณฑปมีฐานพระวิหาร ยกพื้นสูงประมาณ 80 เซนติเมตร ก่อและปูพื้นด้วยศิลาแลง เสาแปดเหลี่ยมถือปูนพระวิหารนี้เคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนั่ง ปางมารวิชัยขนาดใหญ่ สำหรับวัดสระปทุมนี้ใช้พระมณฑปเป็นประธานของวัด
วัดเขาใหญ่บน
วัดเขาใหญ่บนตั้งอยู่นอกเมืองศรีสัชนาลัยทางทิศตะวันตกเป็นวัดในเขตอรัญญิกที่ตั้งอยู่บนเนินเขา โบราณสถานของวัดเขาใหญ่บนประกอบด้วย เจดีย์ประธานของวัด ซึ่งเป็นเจดีย์ทรงลังกาก่ออิฐด้วยศิลาแลง เสาแปดเหลี่ยมล้อมรอบด้วยเจดีย์ราย ส่วนที่ทำให้วัดเขาใหญ่บนแตกต่างไปจากวัด อื่น ๆ ก็คือ มีเจดีย์ทรงกลีบมาเฟืองอยู่ด้านหลังองค์เจดีย์ประธาน เจดีย์ทรงกลีบมะเฟืองนี้สร้างกันมากในสมัยอยุธยา










บทที่ ๗
อุตสาหกรรมเครื่องสังคโลก

บริบททางประวัติศาสตร์
การเติบโตของชุมชนที่ศรีสัชชนาลัยเป็นศูนย์กลางการผลิตเครื่องสังคโลกในช่วงระยะเวลาไม่น้อยกว่าสี่ศตวรรษ ตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 19 ถึงพุทธศตวรรษที่ 23 สะท้อนภาพการเติบโตของชุมชนอุตสาหกรมในประวัติศาสตร์สยามอย่างแท้จริง บนพื้นที่ที่เป็นแหล่งอาศัยของช่างหลายกลุ่มผู้ชำนาญหลายด้าน ตลอดจนช่างฝีมือต่าง ๆ อาทิ ช่างทำเตาและผู้ควบคุมอุณหภูมิความร้อน ช่างเคลือบ ช่างปั้น ช่างวาดลายตกแต่ง รวมตลอดไปถึงผู้ดำเนินการทางการค้า ซึ่งอาจเป็นตัวแทนของรัฐเข้ามาควบคุมและกำหนดทิศทางการผลิต เพื่อส่งไปขายแลกเปลี่ยนในอาณาบริเวณกว้างขวาง ทั้งในพื้นภูมิภาคและกับหมู่เกาะใกล้เคียง เช่น หมู่เกาะฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เลยไปถึงเกาหลีและญี่ปุ่น
กล่าวได้ว่าชุมชนอุตสาหกรมศรีสัชชนาลัยซึ่งวิวัฒน์มาจากชุมนุมมนุษย์ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ ณ เมืองเชลียงเก่า สนองตอบอำนาจรัฐทั้งทางด้านการผลิตและการค้าสังคโลก พร้อมทั้งได้พัฒนาเทคโนโลยีทางด้านการผลิตจนกลายเป็นชุมชนที่สามารถสร้างลักษณะของความชำนาญเฉพาะเกี่ยวข้องกับการผลิตและการค้าสังคโลกโดยตรง นับเป็นการพัฒนาความถนัดมาจากชุมนุมมนุษย์ดั้งเดิมที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณนี้ปรับปรุงการใช้ทรัพยากรในการทำเครื่องปั้นดินเผา เช่น ดินอันมีคุณภาพ เรียนรู้จักการเคลือบ การทำลวดลาย ปรับปรุงเทคนิควิธีของตน สร้างความรู้เชิงผสมผสานทั้งจากสังคมภายนอกและของตนเอง ซึ่งก่อให้เกิดความชำนาญทางการผลิตเครื่องสังคโลก
หลักฐานด้านโบราณคดีจากการขุดค้นที่วัดชมชื่น บริเวณเมืองเชลียงเก่า ปี พ.ศ. 2537 ยืนยันความจริงบางอย่างเกี่ยวกับเมืองเชลียงและชุมชนอุตสาหกรมศรีสัชชนาลัยแห่งนี้ วัดชมชื่นอยู่ตรงโค้งน้ำยม เป็นบริเวณที่ตั้งวัดชมชื่นและใกล้เคียงมีความสำคัญสืบเนื่องมาจากสมัยหลังเพราะเป็นศูนย์กลางของเมืองเชลียงเก่า จะเห็นได้ว่าสมัยพุทธศตวรรษที่ 18-19 ก็มีการสร้างวัดพระบรมธาตุขึ้นเป็นศูนย์กลางเมืองตรงบริเวณนี้
สันนิษฐานว่าชุมชนมนุษย์ที่วัดชมชื่นอยู่มาตั้งแต่สมัยปลายยุคโลหะ ชั้นล่างสุดของหลุมขุดค้นลึก 9 เมตร แสดงการอยู่อาศัยของชุมนุมมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ และคงได้มีการอยู่อาศัยสืบเนื่องมาจนสมัยทวารวดีประมาณพุทธศตวรรษที่ 11-12 ปรากฏว่าในความลึก 7 เมตร พบโครงกระดูกของมนุษย์ผู้ใหญ่ 6 โครง และเด็ก 2 โครง ซึ่งคงมีความเชื่อร่วมกันบางอย่าง เพราะโครงกระดูกดังกล่าวฝังหันศีรษะไปในทางเดียวกัน พบลูกปัดสมัยทวารวดีกับโครงกระดูกเหล่านี้ พร้อมกับวัตถุที่เป็นชิ้นส่วนของเครื่องปั้นดินเผา แสดงว่าชุมชนเล็ก ๆ สมัยทวารวดีนี้รู้จักเครื่องปั้นดินเผาแล้ว และคงมีการติดต่อกับชุมชนใกล้เคียงบ้าง เช่น ชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ที่เขาเข็น เป็นต้น ซึ่งมีร่องรอยของก่อนประวัติ-ศาสตร์คล้ายคลึงกัน
วิวัฒนาการของชุมชนเชลียงเข้าสู่ความเป็นเมืองเริ่มตั้งแต่ปลายสมัยทวารวดี ซึ่งคงเติบโตเป็นชุมชนในเส้นทางค้าและการคมนาคมตั้งแต่ประมาณสมัยพุทธศตวรรษที่ 17 เมื่อพระเจาสุริยวรร-มันที่ 1 ทรงมีนโยบายขยายตัวทางเศรษฐกิจมาทางด้านตะวันตกของราชอาณาจักร และอิทธิพลของขอมทางด้านวัฒนธรรมและการเมืองเริ่มฝังรากลึกในแผ่นดินอีสาน ส่วนทางลุ่มน้ำเจ้าพระยา ละโว้เป็นศูนย์กลางสำคัญตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 17-19 พร้อมพับการแผ่อำนาจและบารมีของพระเจ้าชัยวรร-มันที่ 7 ในภูมิภาค ส่วนในของสยามประเทศสมัยนี้เกิดชุมชนบ้านเมืองหลายแห่ง อาทิ สุโขทัย พะเยา และชุมชนที่เชลียง ซึ่งเอกสารพื้นถิ่นเรียก เมืองเชลียง ปรากฏในจารึกสุโขทัยเรียกเมืองศรีสัชชนาลัย มีความเป็นไปได้สูงที่ว่าชุมชนเชลียงได้ ปรับปรุงความรู้เกี่ยวกับการทำเครื่องปั้นดินเผาสืบเนื่องถึงสมัยหลังจนสามารถทำเครื่องเคลือบแบบขอมได้ เพราะในชั้นดินจากหลุมขุดค้นวัดชมชื่นพบชิ้นส่วนเครื่องปั้นดินเผาลายเชือกทาบ และเครื่องปั้นดินเผาแบบขอม ซึ่งแพร่อยู่ตามชุมนุมบ้านเมืองต่าง ๆ ภายในภูมิภาคช่วงพุทธศตวรรษที่ 18-19 สำหรับกรณีของเชลียงก็จะเห็นได้ว่าเกิดเป็นบ้านเมืองขึ้นชัดเจนในตอนนี้ มีการสร้างวัดเจ้าจันทร์และวัดพระบรมธาตุเชลียง เป็นต้น ในส่วนของการพัฒนาเครื่องปั้นดินเผาเคลือบและเครื่องปั้นดินเผาเนื้อแกรง มีการสร้างเตาผลิตขึ้นหลายแห่งร่วมสมัยกันเช่น เตาเชลียง เตาสันกำแพง เตาเวียงจันทน์ ผลิตวัตถุประเภทไหและกระปุกเคลือบสีน้ำตาลที่มีลักษณะคล้าย ๆ กัน
ในระยะแรกชุมชนเชลียงผลิตเครื่องปั้นดินเผาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องปั้นดินเผาเนื้อแกร่งแบบขอม เฉกเช่นเดียวกับชุมชนบ้านเมืองอื่น ชุมชนเหล่านี้มีเครือข่ายการผลิตเครื่องปั้นดินเผาเนื้อแกร่งสีเทาหรือเทาออกดำคล้ายคลึงกัน ใช้สำหรับใส่กระดูกคนตายหรือัฐิเผาแล้วฝังไว้ เครื่องปั้น     ดินเผาลักษณะนี้พบในเขตสุโขทัย พิษณุโลก นครไทย เลย อุดร หนองคาย และเมืองอื่น ๆ ในเขตอีสานตอนบน
การพบเครื่องปั้นดินเผาลักษณะแบบขอมทั้งเนื้อแกร่งและแบบเคลือบตั้งแต่สมัยต้น ทำให้สันนิษฐานได้ว่า เครื่องปั้นดินเผาขอมส่งอิทธิพลต่อการผลิตเครื่องปั้นดินเผาทั้งแบบแกร่งและแบบเคลือบที่เมืองเชลียงมาแต่ดั้งเดิมก่อนผลิตเครื่องสังคโลก ผลผลิตที่แสดงให้เห็นการพัฒนาฝีมือขั้นสูงสุดทางด้านเครื่องปั้นดินเผาของชุมชนอุตสาหกรรมศรีสัชชนาลัย
ไม่สามารถปฏิเสธว่าเครื่องสังคโลกนั้นมีลักษณะของการเคลือบและการเขียนลวดลายแบบจีนอยู่ ความชำนาญทางด้านการผลิตเป็นผลมาจากการสั่งสมความรู้ทั้งที่ตกทอดมาในท้องถิ่นและรับอิทธิพลจากภายนอก สันนิษฐานว่าอิทธิพลของการผลิตเครื่องปั้นดินเผาแบบจีนได้ผ่านเข้าสู่การรับรู้ของชุมชนเชลียงใน 2 ลักษณะและต่างช่วงเวลา
ลักษณะแรก เป็นการรับรู้ผ่านการแพร่กระจายของวัฒนธรรมเครื่องปั้นดินเผาจากจีนในสังคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยุคต้นก่อนพุทธศตวรรษที่ 18
อีกลักษณะหนึ่ง เป็นการรับรู้ที่ถูกกำหนดโดยรัฐเมื่อมีการกำหนดให้ผลิตเป็นสินค้าแลกเปลี่ยนในวงจรการค้าทางทะเล ประมาณตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่ 19 และต้นพุทธศตวรรษที่ 20
วัฒนธรรมเครื่องปั้นดินเผาของสังคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยุคแรกได้รับอิทธิพลทางเทคโนโลยีจากจีนอย่างมาก ซึ่งจากการศึกษาของ โรแซนนา เอ็ม บราวน์ ได้พบว่า เครื่องปั้นดินเผา กวั่นตง (Guangdong ceramics) และเครื่องปั้นดินเผาขอมยุคแรกซึ่งเคลือบบางเป็นสีเขียวนั้นคล้ายคลึงกัน แต่จีนผลิตมาก่อนรู้จักกันมานับร้อยปี ส่งอิทธิพลต่อเครื่องปั้นดินเผาอันนัมยุคแรกและเครื่องปั้น ดินเผาขอม
ปีเตอร์ แลม พบว่า เครื่องปั้นดินเผากวั่นตง ผลิตจากเตาผลิตมณฑลกวั่นตนชายทะเลฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ซึ่งผลิตเครื่องปั้นดินเผามาตั้งแต่สมัยนีโอลิธิกกลายเป็นวัฒนธรรมเครื่องปั้นดินเผาระดับภูมิภาคกระจายทั่วมณฑลกวั่นตง หูหนาน กวางสี ฉีเจียง เกียงสี นอกจากนี้ยังรับอิทธิพลทางด้านเครื่องปั้นดินเผาจากพวกเวี่ย (Yueh) เผ่าชนพื้นเมืองซึ่งกระจายตัวอย่างกว้างขวางในพื้นภูมิภาคนี้ บางทีเรียกเครื่องปั้นดินเผาชนิดนี้ว่า เครื่องปั้นดินเผาก่อนเซลาดอนหรือโปรโตเซลา-ดอน (ProtoCeladon)
ผลผลิตสำคัญในวัฒนธรรมเครื่องปั้นดินเผากวั่นตงคือ ไหมะตะบัน (Martaban jars) ซึ่งแพร่หลายในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 ตรงกับสมัยราชวงศ์ซ้องฝ่ายเหนือแรกเริ่มเดิมทีใช้บรรจุของเหลวเช่น ไวน์ ซอสผักดอง ภายหลังนิยมใช้เก็บใบชาส่งไปขายญี่ปุ่น รู้จักกันในชื่อว่า ไหลูซอน (Luzon jars) ที่ซาราวัคเรียกไหนี้ว่า กาลอง (Kalong Jars) ในสยามเรียกไหสุโขทัยหรือไหขอม ชุมชนฟิลิปปินส์บางแห่งเรียกตัมปายัน (Tempayan) มีการผลิตไหแบบนี้ไม่เฉพาะจากเมืองจีนเท่านั้น แต่จากเตาสุโขทัย-สวรรคโลก กัมพูชาและเวียดนาม โดยเฉพาะไหมะตะบันจากสยามประเทศกลายเป็นสินค้าออกสำคัญในช่วงตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่ 19 และพุทธศตวรรษที่ 20 ซึ่งเชื่อว่ามีการผลิตจากแหล่งเตาอื่นในลุ่มน้ำเจ้าพระยาด้วย พบในซากเรือจมที่เกาะครามและเรือของบริษัทดัทช์อีสต์อินเดีย คัมปะนี ชื่อเรือวิทเลียว; (Witte Leeuw) ปัตตาเวีย (Batavia) และ เฟอคุลเดอ ดราค (Vegulde Draeck)
การผลิตไหมะตะบันอย่างแพร่หลายในสังคมสยาม จึงควรเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ช่วยยืนยันอิทธิพลทางด้านการผลิตเครื่องปั้นดินเผาของจีน ซึ่งได้ตกทอดมาสู่ชุมชนช่างผลิตเครื่องปั้น  ดินเผาที่ศรีสัชชนาลัย-สุโขทัย และแหล่งผลิตอื่นในลุ่มน้ำเจ้าพระยา บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงนี้     ทำให้อาจคาดการณ์ได้เช่นกันว่า กลวิธีการเคลือบแบบขอมของจีนได้ช่วยผสมผสานความรู้ให้เกิดแก่ช่างทำสังคโลกที่ศรีสัชชนาลัย
ความแพร่หลายของการค้าเครื่องปั้นดินเผาทางทะเลเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งอีกประการหนึ่งที่ ทำให้ช่างพื้นเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อันนัม และสยาม เลียนแบบการเคลือบการเขียนลวดลายและรูปลักษณ์ของเครื่องปั้นดินเผาเป็นแบบจีนเพื่อสนองความต้องการของสังคมชุมชนต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งภาคพื้นทวีปชายฝั่งทะเลและหมู่เกาะ จะเห็นได้ว่าเมื่อมีการพบชิ้นส่วนของเครื่องปั้นดินเผาพื้นเมืองนั้น มักพบควบคู่กับเครื่องปั้นดินเผาจีนเสมอ จีนเองก็ผลิตเครื่องเคลือบเพื่อสนองความต้องการของลูกค้า เช่น ขวนมีหัวเป็นรูปนกฟีนิกซ์อันเป็นที่นิยมของชาวเกาะ กลับไม่เหมือนหัวนกฟีนิกซ์ที่ทำสำหรับสุลต่านแห่งวังทรอปกาปิ (Trokapi)
ผลิตภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาจีนเป็นสินค้าสำคัญตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 18 สมัยราชวงศ์ซ้อง ทั้งนี้สืบเนื่องจากการที่คนพื้นเมืองนิยมภาชนะเครื่องปั้นดินเผาและไหบรรจุของจาก   จีนใต้ ซึ่งผูกขาดการผลิตในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18-19 จนหมดสมัยราชวงศ์มงโกล ต้นพุทธศตวรรษที่ 20 การค้าเครื่องปั้นดินเผาจีนตกต่ำอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ผลผลิตของสยามประเทศจากแหล่งเตาศรีสัชช-    นาลัย สุโขทัย และเครื่องปั้นดินเผาอันนัมได้เข้ามาแทนที แต่จีนก็ฟื้นตัวด้านการผลิตเครื่องปั้นดินเผาเป็นสินค้าแลกเปลี่ยนในช่วงพุทธศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสมัยราชวงศ์เหม็ง บรรดาพ่อค้า-เอกชนจีน มีบทบาทด้านการค้าทางทะเลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาก มีการต่อเรือเป็นอุตสาหกรรมท้องถิ่นที่สำคัญ ส่งผลให้เกิดการค้าเรือสำเภาขนาดเล็ก และเรือสินค้า เดินทางระยะสั้นประเภทอื่นในบรรดารัฐเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีเมืองท่าชายฝั่งและเส้นทางออกทะเล เช่น เรือบูตวน (Butuan Boat) ของฟิลิปปินส์
แรงจูงใจในการผลิตเครื่องปั้นดินเผาทั้งเคลือบและไม่เคลือบเลียนแบบจีนเพื่อแลกเปลี่ยนกับผลไม้ทางเศรษฐกิจการค้า จึงเกิดขึ้นในรัฐบ้านเมืองบางแห่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัฐที่ชี้นำการผลิตรู้ว่าผลผลิตนั้นเป็นที่ต้องการอย่างกว้างขวาง
ทำไมจึงมีความต้องการเครื่องปั้นดินเผาอย่างมากมายในสังคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้? ตามที่ได้มีการค้นคว้ามานั้น วัตถุประสงค์ที่ทำให้เกิดความต้องการ จำแนกได้เป็นหลายแบบ อาทิ
ใช้เครื่องปั้นดินเผาเป็นวัตถุทางความเชื่อเกี่ยวกับความลี้ลับและความศักดิ์สิทธิ์ เช่น ใช้เป็นเครื่องรางปกป้องผองภัย บางแห่งคนเชื่อว่าจนเซลาดอนขจัดพิษได้ สามารถร้องเตือนเมื่อมีภัยมา บ้างว่ามีเสียงเป็นอมตะไพเราะเหมือนเสียงระฆัง
ใช้ในพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการนับถือผีและวิญญาณ บางกลุ่มใช้เปลือกหอยเคาะเครื่องปั้น    ดินเผาเพื่อเรียกวิญญาณบรรพบุรุษ ชนเผ่าบางแห่งใช้ไฟใส่เหล้าไวน์สำหรับประกอบพิธีกรรม สังคมชาวเกาะฟิลิปปินส์นิยมใช้ภาชนะเครื่องปั้นดินเผาบรรจุกระดูกคนตาย บางแห่งใช้ใส่กระดูกไปในไหแล้วฝัง ดังนั้นจึงเกิดการนำเข้าของประเภทนี้มาก ช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 19 การผลิตเครื่องปั้น    ดินเผาพื้นเมืองในฟิลิปปินส์แทบหยุดชะงักสิ้น เพราะคนหันมานิยมซื้อเครื่องสังคโลกและเครื่องปั้นดินเผาจากภายนอก
นอกจากนั้นก็ใช้เป็นภาชนะบรรจุของเหลว สมัยพุทธศตวรรษที่ 22-23 ชาวญี่ปุ่นต้องการไหสังคโลกมากสำหรับเก็บรักษาชาให้มีคุณภาพ มีเรื่องเล่าว่า พุทธศตวรรษที่ 22 เรือสินค้าของชาวฟลอเรนซ์ออกจากมะนิลาไปทอดสมอที่นางาซากิ เจ้าหน้าที่ขึ้นมาตรวจเรือคนหาภาชนะเครื่องปั้น ดินเผาจำพวกไหสำหรับใส่ชา (เพราะตามกฎหมายแล้วองค์พระจักรพรรดิมีสิทธิ์ซื้อไว้เฉพาะพระองค์เอง) โดยไม่เหลียวแลสินค้าอื่นเลย
เครื่องปั้นดินเผาและเครื่องเคลือบยังเป็นสิ่งซึ่งบ่งบอกถึงฐานะสูงและสิทธิพิเศษของผู้เป็นเจ้าของ มิใช่เฉพาะสังคมชนเผ่าเท่านั้น แต่สังคมชาวเมืองด้วยเพราะความนิยมและต้องการดังนี้ จึงทำให้มีการผลิตเครื่องเคลือบทั้งสำหรับเป็นภาชนะใช้สอย และรูปแบบต่าง ๆ สำหรับประดับตกแต่งเช่น กระเบื้อง ขวด ชุดชา หีบ วัตถุรูปผลไม้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของเล่นประเภทตุ๊กตาและรูปสัตว์ต่าง ๆ (เหล่านี้ครั้งหนึ่งในอดีตอาจเป็นของใช้ในพิธีกรรม)
ความต้องการอันมากมายส่งผลให้มีการผลิตอย่างมากมายด้วย ทั้งจากฝ่ายจีนและการเลียนแบบโดยช่างชาวพื้นเมือง พร้อมกันจีนก็สร้างสรรค์ให้เหมาะกับรสนิยมพื้นเมืองจึงอาจนำไปสู่การผลิตวัตถุที่สอดคล้องกับความต้องการของพื้นถิ่นแต่ละแห่งหนเช่น คนทีประดับด้วยหัวนกฟีนิกซ์และรูปปั้นผลไม้พื้นเมือง เหล่านี้ต่างออกไปจากวัฒนธรรมจีน สภาวะการผลิตและการค้าเครื่องปั้น ดินเผาดังกล่าว สะท้อนถึงการผสมผสานวัฒนธรรมบางแง่มุม ด้วยเงื่อนไขเช่นนี้การรับและส่งต่ออิทธิพลทางด้านฝีมือการผลิตและอื่น ๆ จึงมีความเป็นไปได้สูง และมีแนวโน้มว่าช่างพื้นเมืองจากแหล่งผลิตสำคัญ ดังเช่น ศรีสัชชนาลัยอาจเรียนรู้กลวิธีจากช่างจีนมาปรับปรุง อีกทั้งการเข้ามาของพ่อค้าจีนหรือพ่อค้าจากฝั่งทะเลจีนใต้มาดำเนินกิจการในบ้านเมืองลุ่มน้ำเจ้าพระยาก็มีมาแต่พุทธศตวรรษที่ 17 แล้ว ดังเรื่องพ่อค้าจีนที่เมืองเจนลี่ฟูในลุ่มน้ำเจ้าพระยาก่อนการเกิดอาณาจักรอยุธยา การมีย่านของคนจีนในอยุธยาครั้งอดีตก็อาจเทียบเคียงให้เห็นถึงบทบาทของคนจีนในวงจรธุรกิจการค้าแลกเปลี่ยนครั้งกระนั้นการขยายตัวของพ่อค้าจีนและช่างจีนตามแหล่งเตาผลิตภาคพื้นสยามประเทศในยุคการค้าเครื่องปั้นดินเผาเฟื่องฟู จึงอาจมีนัยถึงอิทธิพลของการผลิตเครื่องปั้นดินเผาและเครื่องเคลือบแบบจีนต่อช่างผลิตสังคโลกแห่งชุมชนอุตสาหกรรมศรีสัชชนาลัย
นอกจากช่างศรีสัชชนาลัยรับอิทธิพลทางด้านการผลิต การเคลือบ รูปแบบและลวดลายจากขอมและจีนในการผลิตเครื่องสังคโลกแล้ว ยังปรากฏลักษณะสัมพันธ์ทางด้านศิลปะระหว่างเครื่องสังคโลกบางชิ้นจากเตาสุโขทัย-ศรีสัชนาลัยกับชิ้นส่วนจากเตาสันกำแพงผลิตในช่วงพุทธศตวรรษที่ 21 อีกด้วย ไฮแรม วูดเวิร์ด ศึกษาทางด้านประวัติศาสตร์ศิลปะเปรียบเทียบชิ้นส่วนจากแหล่งเตาทั้งสาม พบว่ามีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก จึงสันนิษฐานว่าในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 ครั้งศึกยวนพ่ายเมื่อเชียงใหม่ยึดศรีสัชชนาลัยอยู่ชั่วระยะหนึ่งนั้น น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ช่างฝีมือจากแหล่งเตาทั้งสามได้มีโอกาสลอกเลียนแบบกัน เกิดการผสมผสานทางด้านศิลปะ ถ้าแม้นข้อเสนอนี้เป็นที่ยอมรับ เราก็อาจมีความเห็นเพิ่มเติมไว้ว่า ในการพัฒนาฝีมือของช่างศรีสัชชนาลัยนั้นได้รับถ่ายทอดอิทธิพลทางศิลปะทั้งจากขอม จีน และช่างเชียงใหม่ มาปรุงแต่งจนอาจเกิดผลผลิตที่มีลักษณะเฉพาะอีกกลุ่มหนึ่งได้
                   สำหรับคำว่า “สังคโลก” นั้น เป็นคำที่คนไทยโดยทั่วไปรู้จักกันมานานแล้วว่าหมายถึงเครื่องปั้นดินเผาที่ผลิตจากเมืองสุโขทัยและศรีสัชชนาลัยที่มีเนื้อแกร่งเคลือบผิดและคำนี้ยังนิยมนำไปใช้เรียกเครื่องเคลือบดินเผาที่ผลิตจากที่ต่าง ๆ อีกด้วย เช่น สังคโลกจีน สังคโลกญวน และญี่ปุ่น เชื่อกันว่าการที่คนไทยนิยมเรียกเครื่องปั้นดินเผาเคลือบว่า สังคโลก ก็เพราะว่าแต่ดั้งเดิมเครื่องปั้น   ดินเผาเคลือบนี้คงจะผลิตมากที่เมืองสวรรคโลก ซึ่งเป็นชื่อเรียกเมืองศรีสัชชนาลัยในสมัยอยุธยานั่นเอง การผลิตเครื่องสังคโลกได้เป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เป็นสินค้าส่งไปขายในดินแดนใกล้เคียงและเป็นสินค้าส่งออกไปจำหน่ายยังดินแดนใกล้เคียงและเป็นสินค้าส่งออกไปจำหน่ายยังดินแดนประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้อีกด้วย คำเรียกว่า สังคโลก คงเป็นคำเรียกโดยพ่อค้าชาวจีนที่เข้ามาติดต่อค้าขายกับกรุงศรีอยุธยา โดยเรียกชื่อสินค้าและแหล่งผลิตที่เมืองสวรรคโลก แต่ออกเสียงเพี้ยนเป็นสังคโลกจนติดปากคนไทยในสมัยหลังต่อมาอีกด้วย ความเห็นดังกล่าวยังไม่มีข้อยุติ ซึ่งนัก วิชาการต่างก็มีความเห็นแตกต่างกันไป ที่แน่นอนที่สุดสังคโลกไทยแม้ว่าจะมีแหล่งผลิตอยู่ใน    หลาย ๆ แห่ง ทั้งที่เมืองศรีสัชชนาลัย สุโขทัย และหลายแห่งในภาคเหนือตอนบน แต่เครื่องสังคโลกที่ผลิตได้จากแหล่งเตาเมืองสวรรคโลกหรือศรีสัชชนาลัย จะพบว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดและเป็นสินค้าที่พบกระจายอยู่โดยทั่วไปภายในประเทศและต่างประเทศ
จากการสำรวจและขุดค้นแหล่งโบราณคดีต่าง ๆ ทั่วประเทศไทยพบว่ามีสังคโลกหลายชนิดหลายประเภทเป็นเครื่องใช้สอยของชุมชนต่าง ๆ แม้ในอ่าวไทยและบริเวณชายฝั่วทะเลจีนตอนใต้ก็ได้พบสังคโลกอีกเป็นจำนวนมากในหลุมฝังศพของชุมชนโบราณ ที่มีอายุอยู่ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 20-22 ในประเทศฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และตามหมู่เกาะของประเทศดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าในช่วงระยะนั้นสังคโลกได้เป็นสินค้าเศรษฐกิจที่สำคัญมากของกรุงศรีอยุธยา แม้ว่าเครื่องปั้น ดินเผาที่พบจะมีแหล่งผลิตในหลาย ๆ แห่ง แต่สังคโลกที่ผลิตได้จากแหล่งเตาเมืองศรีสัชชนาลัยจะพบว่ามีปริมาณที่มากกว่าแหล่งเตาอื่น ๆ
การผลิตสังคโลกนั้นมิได้มีเพียงผลิตภัณฑ์ที่ใช้สอยในชีวิตประจำวัน เช่น หม้อ จาน ชาม ถ้วย กระปุก กาน้ำ เต้าปูน ฯลฯ เท่านั้น เมื่อชาวเมืองศรีสัชชนาลัยได้พัฒนาการฝีมือการเผาเครื่องปั้น ดินเผาจนเชี่ยวชาญและมีความชำนาญเป็นอย่างดียิ่ง ยังได้มีการผลิตให้เป็นชิ้นส่วนเครื่องประดับตกแต่งสถาปัตยกรรม วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง ของใช้ตามพิธีกรรมทางศาสนาและความเชื่ออื่น ๆ อีกด้วย ดังจะพบหลักฐานจากการสำรวจขุดค้นโบราณสถานในเมืองศรีสัชชนาลัยและสุโขทัยว่า เครื่องสังคโลกได้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องประดับและองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมเป็นอันมาก เช่น       กระเบี้องมุงหลังคา แผ่นกระเบื้องปูพื้น ตะเกียงสังคโลกที่ประดับหัวเสา เสาลูกกรง ช่อฟ้า หางหงส์ บราลี นาคราวบันได เป็นต้น ส่วนสังคโลกอีกประเภทซึ่งน่าจะผลิตขึ้นเป็นเครื่องประดับบ้านเรือนโดยเฉพาะเช่น ภาพช้างถ้วยจตุรังคบาท ม้า วัว เป็น ไก่ นก และปลาชนิดต่าง ๆ ทั้งหมดเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความมีฝีมืออย่างชำนาญการในการผลิตเครื่องสังคโลกของชาวเมืองสวรรคโลกหรือศรี-  สัชชนาลัยสมัยโบราณ