Friday, June 18, 2010

ไวในการฟังช้าในการพูด


ไวในการฟังช้าในการพูด
ริมฝีปากของคนชอบธรรมเลี้ยงคนเป็นอันมาก - สุภาษิต 10:21
                เรามักไม่เป็นผู้ฟังที่ดี หลายครั้งเราได้ยินแต่ไม่ได้ฟัง คือได้ยินคำพูด แต่ใจไม่ได้ฟัง ใจยังไม่สงบ  ยังเต็มด้วยเสียงของตัวเอง   จึงไม่ได้ตั้งใจฟังจริงๆ  เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะนิ่งและเงียบ
มี วาระนิ่งเงียบ และวาระพูด” (ปัญญาจารย์ 3:7) ความเงียบที่ดีคือความเงียบที่ถ่อมและรับฟัง ซึ่งนำไปสู่การได้ยิน เข้าใจ และพูดอย่างถูกต้อง
 สุภาษิต 20:5 กล่าวว่า ความประสงค์ในใจของคนเหมือนน้ำลึก แต่คนที่มีความเข้าใจจะสามารถโพงมันออกมาได้
                การฟังให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งต้องใช้ความตั้งใจมาก ขณะที่เราฟังผู้อื่น เราก็ต้องฟังพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ตรัสด้วย ครั้งที่พระเยซูทรงใช้นิ้วเขียนที่ดินเมื่อฟาริสีต่อว่าหญิงที่ถูกจับได้ว่าล่วงประเวณี (ดู ยอห์น 8:1-11) พระองค์ทรงทำอะไร พระองค์อาจจะทรงฟังเสียงพระบิดาและถามว่า เราควรจะพูดอะไรกับฝูงชนและหญิงคนนี้
                ให้เราสงบจิตใจเพื่อฟังเสียงของพระวิญญาณที่อยู่ในชีวิตเราก่อน เพื่อจะได้เข้าใจจิตใจของผู้อื่น เพราะพระองค์ทรงต้องการสอนเราในการพูด อย่าด่วนที่จะพูด  พึงจำไว้ว่า “ความเงียบที่ถูกจังหวะดีกว่าวาจาคมคาย”
ไวในการพูดตามแบบพระคริสต์ช้าในการพูดด้วยอารมณ์
พระคัมภีร์กล่าวว่า มีบางคนที่คำพูดพล่อยๆ ของเขาเหมือนดาบแทงและ คำกักขฬะเร้าโทสะแต่ คำตอบอ่อนหวานช่วยละลายความโกรธเกรี้ยวให้หายไป” (สุภาษิต 12:18; 15:1) และบางครั้งการไม่ตอบโต้อะไรเลยก็เป็นหนทางที่ดีที่สุด ในการจัดการกับคำพูดหรือความเห็นที่รุนแรง
ก่อนพระเยซูถูกตรึง ผู้นำศาสนาพยายามยั่วยุพระองค์ด้วยคำพูดดังที่ใน มัทธิว 27:41-43 กล่าวว่า แต่ เมื่อเขากล่าวคำหยาบคายต่อพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรงกล่าวตอบเขาด้วยคำหยาบคายเลยแต่ทรงมอบเรื่องของพระองค์ไว้แก่พระเจ้าผู้ทรงพิพากษาอย่างยุติธรรม” (1 เปโตร 2:23)
พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างในการโต้ตอบคนที่ทำผิดกับเรา ด้วยท่าทีที่ถูกต้อง การวางใจพระเจ้าทำให้เราไม่ต้องใช้คำพูดเป็นอาวุธทำร้ายผู้ที่ทำผิดต่อเรา
ขอให้เราทูลต่อพระองค์ในยามที่เราเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่น่ายินดีว่า “พระเจ้าที่รัก โปรดประทานการรู้จักบังคับตนผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ ในยามที่ข้าพระองค์ถูกทดลองให้พูดถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม  คำตอบอ่อนหวานคือวิธีละลายใจที่แข็งกระด้าง”
กษัตริย์ซาโลมอน ผู้เขียนพระธรรมสุภาษิตเกือบทั้งหมดได้เขียนเกี่ยวกับอำนาจของคำพูดบ่อยครั้ง ท่านกล่าวว่า ความตายความเป็นอยู่ที่อำนาจของลิ้น”(สุภาษิต 18:21) คำพูดทำให้เกิดผลดีหรือผลร้ายก็ได้ (สุภาษิต 18:20) เราจะมีคำพูดที่ก่อให้เกิดผลดีได้อย่างไร มีทางเดียวคือ เราต้องหมั่นรักษาจิตใจ จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้านเพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ” (สุภาษิต 4:23)
พระเยซูทรงเปลี่ยนแปลงจิตใจของเรา เพื่อให้เรามีคำพูดที่ดีที่สุด คือ ซื่อสัตย์ สงบ เหมาะสมและถูกกาลเทศะ
ขอให้เราอธิษฐานดังนี้ “ข้าแต่พระเจ้า พระศิลาและพระผู้ไถ่ของข้าพระองค์ ขอให้ถ้อยคำจากปากของข้าพระองค์ และการรำพึงภาวนาในจิตใจ เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์เถิด สดุดี 19:14
                ในเว็บไซต์มักจะมีช่อง แสดงความเห็นที่ผู้อ่านสามารถแสดงความคิดเห็นของตนได้ หลายคนมักจะระบายอารมณ์ด้วยถ้อยคำหยาบคายถากถางโดยไม่มีมูลความจริงหรือมีมูลเหตุ
พระเจ้าทรงให้เรามีอิสระมาก เราเลือกได้ว่าจะพูดอะไร เมื่อไร อย่างไร ข้อความที่เราพูด เขียน หรือโพสต์นั้นสำแดงความรักของพระเจ้าไหม เป็นประโยชน์กับใครบ้าง และสะท้อนพระลักษณะของพระคริสต์หรือไม่ จงให้ความรักเป็นเป้าหมายสูงสุดของคุณในการพูดบนโลกโซเชียล
ไวที่จะพูดเพื่อก่อ ในท่ามกลางความขัดแย้ง
สวนหลายไร่ลุกเป็นไฟเมื่อลมพัดเอาเถ้าถ่านที่ยังติดไฟอยู่หรือก้นบุหรี่ที่ถูกทิ้งข้างทาง ในทุ่งหญ้าแห้งแล้ง ประกายไฟเพียงนิดก็ทำให้เกิดอัคคีภัยร้ายแรงได้
ยากอบก็พูดถึงลิ้น ว่ามันเป็น โลกที่ไร้ธรรม ในบรรดาอวัยวะของเรา เป็นเหตุให้ทั้งกายมลทินไป ทำให้วัฏฏะแห่งชีวิตเผาไหม้และมันเองก็ติดไฟโดยนรก” (ยากอบ 3:6)
                คำพูดสามารถทำให้ความสัมพันธ์ทั้งหลายขาดสะบั้นลงหรือสร้างและรักษาความสัมพันธ์ต่อกันยิ่งดีขึ้น สุภาษิต 12:18 กล่าวว่า มีบางคนที่คำพูดพล่อยๆ ของเขาเหมือนดาบแทง แต่ลิ้นของปราชญ์นำการรักษามาให้เช่นเดียวกับไฟที่มีทั้งด้านเผาทำลายและด้านที่เป็นประโยชน์ ความตายความเป็นก็อยู่ที่อำนาจของลิ้น” (สุภาษิต 18:21)
ให้เรามีลิ้นที่ ประกอบด้วยเมตตาคุณเสมอ” (โคโลสี 4:6) เมื่อแสดงความคิดเห็นท่ามกลางความขัดแย้ง ให้พระเจ้าใช้ลิ้นของเราถวายเกียรติแด่พระองค์
ให้เราอธิษฐานว่า “ลูกจะใช้ถ้อยคำที่เป็นพร และหนุนใจผู้อื่นเสริมสร้างผู้คนมากกว่าทำลาย เพราะพระองค์ทรงพอพระทัยเช่นนั้น
ไวที่จะใช้ลิ้นของปราชญ์
อ่าน: สุภาษิต 10:18-21; 12:17-19
ลิ้นของปราชญ์นำการรักษามาให้ - สุภาษิต 12:18
ผู้เขียนสุภาษิต 12:18 กล่าวถึงวิธีการใช้ลิ้นอย่างปราชญ์คือ ลิ้นของปราชญ์นำการรักษามาให้พระเจ้าทรงประทานลิ้นให้กับเราเพื่อนำการรักษาไปสู่ทุกคนที่เราคุยด้วย
ให้เราบอกกับพระเจ้าว่า “ลูกจะใช้ลิ้นตามที่พระองค์ทรงประสงค์คือเยียวยารักษาจิตใจทุกคนที่ลูกคุยด้วย”
ขอทรงเฝ้าระวังถ้อยคำที่เรากล่าว ให้สะท้อนถึงพระองค์และความรักของพระองค์ ช่วยให้ลิ้นของเราเอ่ยคำเยียวยา และไม่ทำร้าย  “จงให้กำลังใจกันและเสริมสร้างซึ่งกันและกันขึ้น” 1 เธสะโลนิกา 5:11
หลักการเหตุผล
แต่ลิ้นนั้นไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำให้เชื่องได้ - ยากอบ 3:8
มนุษย์เรียนรู้วิธีการทำให้สัตว์ป่าเชื่องได้ ไม่ว่าจะเป็นหมูจิ๋วเวียดนามหรือหมาป่าไซบีเรีย หลายคนสนุกกับการสอนลิงให้ แสดงอัครทูตยากอบเขียนไว้ว่า เพราะสัตว์เดียรัจฉานทุกชนิด ทั้งนก สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ในทะเลก็เลี้ยงให้เชื่องได้ และมนุษย์ก็ได้เลี้ยงให้เชื่องแล้ว” (ยก.3:7)
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราไม่อาจทำให้เชื่องได้ เรามีปัญหากับการควบคุมอวัยวะเล็กๆ คือลิ้น ยากอบกล่าวว่า แต่ลิ้นนั้นไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำให้เชื่องได้” (ยก.3:8)
ทำไม เพราะถึงแม้คำพูดจะออกมาจากลิ้น แต่กลับเริ่มต้นมาจากภายในใจของเรา ด้วยว่าปากนั้น พูดจากสิ่งที่มาจากใจ” (มธ.12:34)
ถ้าเราไม่สามารถทำให้ลิ้นเชื่องได้ ลิ้นจะกลายเป็นปัญหาประจำวันของเรา (ยก.3:10) ด้วยพระคุณของพระเจ้าพระองค์ ตั้งยามเฝ้าปากของเรา พระองค์จะทรง รักษาประตูริมฝีปากของข้าพระองค์” (สดด.141:3)
ให้เราขอบพระคุณพระเจ้าว่า “ขอบพระคุณพระองค์ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ทรงช่วยให้ลิ้นที่ไม่เชื่องของข้าพระองค์ สามารถอยู่ภายใต้การควบคุมของพระองค์ได้”
สงครามคำพูด
บ้านหรือโบสถ์ของเราก็อาจแตกหักได้ด้วยถ้อยคำที่แสดงความเกลียดชังเพียงไม่กี่คำ ยากอบเขียนไว้ว่า จงดูเถิด ไฟนิดเดียวอาจเผาป่าใหญ่ให้ไหม้ได้หนอ” (ยากอบ 3:5) วิธีการหลีกเลี่ยงการพูดโต้เถียงกันมีอยู่ในพระธรรมสุภาษิต คำตอบอ่อนหวานช่วยละลายความโกรธเกรี้ยวให้หายไป แต่คำกักขฬะเร้าโทสะ” (สุภาษิต 15:1)
คำพูดเล็กๆ อาจก่อให้เกิดสงครามใหญ่ได้ แต่โดยพระคุณพระเจ้า เมื่อเราเลือกที่จะไม่ตอบโต้ด้วยคำพูด เราก็ถวายเกียรติแด่พระเยซูองค์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา เมื่อพระองค์ทรงถูกทำร้ายและถูกดูหมิ่น พระองค์ทรงทำให้สำเร็จตามคำพยากรณ์ของอิสยาห์ที่ว่า ท่านถูกบีบบังคับและท่านถูกข่มใจ ถึงกระนั้นท่านก็ไม่ปริปาก” (อิสยาห์ 53:7)
สุภาษิตเรียกร้องให้เราพูดความจริงและแสวงหาสันติผ่านถ้อยคำของเรา ลิ้นที่สุภาพเป็นต้นไม้แห่งชีวิตคำเดียวที่ถูกกาละก็ดีจริงๆ” (สุภาษิต 15:4,23)
คำพูดพลั้งมีพลังผลาญทำลาย  พูดร้ายๆ กลับกลายไปกันใหญ่
เลือกกาละแล้วจึงพูดออกไป  พูดจากใจเป็นคำนำพระพร - Anon.
ถ้อยคำที่ถูกกาล
ถ้อยคำที่พูดเหมาะๆ จะเหมือนลูกท้อทองคำล้อมเงิน - สุภาษิต 25:11
คุณอาจเคยได้ยินคำกล่าวว่า ถูกที่ถูกเวลาพระคัมภีร์บอกเราว่า ถ้อยคำและการพูดของเราต้องถูกเวลาด้วย ลองนึกถึงครั้งที่พระเจ้าทรงเคยใช้คุณให้กล่าวถ้อยคำที่เหมาะแก่เวลาเพื่อหนุนใจใครสักคน หรือเมื่อคุณเคยอยากจะพูด แต่นึกขึ้นได้ว่าเงียบไว้ก็ดีกว่า
พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า มีวาระที่เหมาะสมในการพูด (ปัญญาจารย์ 3:7) ซาโลมอนเปรียบเทียบคำพูดที่ควรแก่กาลเทศะว่าเป็นเหมือนลูกท้อทองคำล้อมเงินงดงาม ทรงคุณค่า และประดิษฐ์อย่างพิถีพิถัน (สุภาษิต 25:11-12) การรู้ว่าควรจะพูดในเวลาใดเป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้พูดและผู้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นถ้อยคำแสดงความรัก หนุนน้ำใจ หรือตักเตือนว่ากล่าว เราควรเงียบในเวลาและสถานที่ที่เหมาะสมเช่นกัน เมื่อเราถูกทดลองให้เย้ยหยันดูแคลน หรือใส่ร้ายเพื่อนบ้าน ซาโลมอนกล่าวว่า การยับยั้งลิ้นไว้และรู้จักเงียบในเวลาที่ควรเงียบคือคนฉลาด (สุภาษิต 11:12-13) เมื่อการพูดมากหรือความโกรธ ล่อลวงให้เราทำบาปต่อพระเจ้าหรือเพื่อนมนุษย์ เราต่อต้านได้ด้วยการช้าในการพูด (สุภาษิต 10:19; ยากอบ 1:19)
การรู้ว่าจะพูดอะไร และควรพูดเมื่อไรเป็นเรื่องยาก พระวิญญาณจะทรงช่วยให้เรามองออก พระองค์จะทรงช่วยให้เราใช้ถ้อยคำที่เหมาะเจาะในเวลาที่เหมาะสม และด้วยท่าทีที่ถูกต้อง เพื่อเห็นแก่ผู้อื่น และเพื่อพระเกียรติของพระองค์
ให้เราบอกกับพระเจ้าว่า “พระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงใช้ให้ผู้อื่นพูดคำหนุนใจและคำท้าทายข้าพระองค์ ขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์มีสติปัญญาที่จะรู้ว่าเมื่อใดควรพูดหรือควรเงียบ”
นกฮูกเฒ่าเจ้าปัญญา
สติปัญญากับการจำกัดคำพูดมีความเกี่ยวโยงกัน สุภาษิต 10:19 บอกว่า การพูดมากก็จะสะสมการทรยศ แต่เขาผู้ยับยั้งริมฝีปากของตนเป็นผู้หยั่งรู้
คนฉลาดจะระมัดระวังคำพูดหรือการพูดมากน้อยในแต่ละสถานการณ์ เราควรระวังคำพูดเมื่อเราโกรธ ยากอบขอร้องเพื่อนผู้เชื่อว่า จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ” (ยก.1:19) การยับยั้งคำพูดยังแสดงให้เห็นว่าเรายำเกรงพระเจ้าอีกด้วย กษัตริย์ซาโลมอน กล่าวว่า พระเจ้าทรงสถิตในสวรรค์ และอยู่บนแผ่นดินโลก เหตุฉะนั้นเจ้าจงพูดน้อยคำ” (ปญจ.5:2)  
ปากของเรา ปากกาของเรา ควรจะอยู่ในภาวะต้องสึกสำนึกในพระคุณที่พระเจ้าประทานความยับยั้งชั่งใจแก่เรา
เมื่อเราต้องการทำให้ผู้อื่นประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงที่พระคริสต์ทรงกระทำ ให้เราถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยสิ่งที่เราพูด หรือไม่พูด – RK
ให้เราบอกกับพระเจ้าว่า “พระเจ้าเจ้าข้า ลูกจะไม่ใช้คำพูดทำลายผู้อื่นแล้วสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง แต่จะเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่นก่อนเพื่อจะรับใช้พระองค์และเพื่อแผ่นดินของพระองค์”
พระคำที่ช่วยเหลือและเยียวยา
ข้าแต่พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ - มัทธิว 6:9
เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 1863 ชายผู้มีชื่อเสียงสองคนได้กล่าวสุนทรพจน์ในพิธีมอบถวายสุสานทหารแห่งชาติในเมืองเก็ตตี้สเบิร์กรัฐเพนซิลเวเนีย ผู้กล่าวสุนทรพจน์คนสำคัญ คือ เอ็ดเวิร์ด เอเวอเร็ต อดีตผู้ว่าฯ สมาชิกรัฐสภาและอธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด เอเวอเร็ตได้กล่าวคำสุนทรพจน์อย่างเป็นทางการยาวสองชั่วโมง ตามด้วยประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น ที่กล่าวสุนทรพจน์ เพียง 2 นาที  [1]
ทุกวันนี้ คำปราศรัยแห่งเก็ตตี้สเบิร์กของลินคอล์นยังเป็นที่กล่าวถึงอย่างแพร่หลาย แต่สุนทรพจน์ของเอเวอเร็ตเกือบจะถูกลืมไปแล้วที่เป็นอย่างนี้ไม่ใช่เพราะความสามารถทางวาทศิลป์ของลินคอล์นเท่านั้น แต่ในวันนั้น คำพูดของท่านได้เข้าถึงจิตใจของคนทั้งประเทศที่ปวดร้าวเพราะสงครามกลางเมือง และทำให้เกิดความหวังในวันข้างหน้า
คำพูดมีความหมายได้โดยไม่จำเป็นต้องยืดยาว คำอธิษฐานของพระเยซูคริสต์เป็นคำสอนหนึ่งที่สั้นและน่าจดจำมากที่สุด เป็นการช่วยเหลือและเยียวยา และเตือนให้เราไม่ลืมว่าพระเจ้าทรงเป็นพระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ของเรา ทรงมีฤทธิ์อำนาจทั้งในโลกและในสวรรค์ (มัทธิว 6:9-10) พระองค์ประทานอาหาร การอภัยโทษ และความอดทนให้เราทุกวัน (มัทธิว 6:11-13)



[1] https://thaiodb.org/2014/01/07/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A2/
ไวในการฟังช้าในการพูด
ริมฝีปากของคนชอบธรรมเลี้ยงคนเป็นอันมาก - สุภาษิต 10:21
                เรามักไม่เป็นผู้ฟังที่ดี หลายครั้งเราได้ยินแต่ไม่ได้ฟัง คือได้ยินคำพูด แต่ใจไม่ได้ฟัง ใจยังไม่สงบ  ยังเต็มด้วยเสียงของตัวเอง   จึงไม่ได้ตั้งใจฟังจริงๆ  เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะนิ่งและเงียบ
มี วาระนิ่งเงียบ และวาระพูด” (ปัญญาจารย์ 3:7) ความเงียบที่ดีคือความเงียบที่ถ่อมและรับฟัง ซึ่งนำไปสู่การได้ยิน เข้าใจ และพูดอย่างถูกต้อง
 สุภาษิต 20:5 กล่าวว่า ความประสงค์ในใจของคนเหมือนน้ำลึก แต่คนที่มีความเข้าใจจะสามารถโพงมันออกมาได้
                การฟังให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งต้องใช้ความตั้งใจมาก ขณะที่เราฟังผู้อื่น เราก็ต้องฟังพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ตรัสด้วย ครั้งที่พระเยซูทรงใช้นิ้วเขียนที่ดินเมื่อฟาริสีต่อว่าหญิงที่ถูกจับได้ว่าล่วงประเวณี (ดู ยอห์น 8:1-11) พระองค์ทรงทำอะไร พระองค์อาจจะทรงฟังเสียงพระบิดาและถามว่า เราควรจะพูดอะไรกับฝูงชนและหญิงคนนี้
                ให้เราสงบจิตใจเพื่อฟังเสียงของพระวิญญาณที่อยู่ในชีวิตเราก่อน เพื่อจะได้เข้าใจจิตใจของผู้อื่น เพราะพระองค์ทรงต้องการสอนเราในการพูด อย่าด่วนที่จะพูด  พึงจำไว้ว่า “ความเงียบที่ถูกจังหวะดีกว่าวาจาคมคาย”
ไวในการพูดตามแบบพระคริสต์ช้าในการพูดด้วยอารมณ์
พระคัมภีร์กล่าวว่า มีบางคนที่คำพูดพล่อยๆ ของเขาเหมือนดาบแทงและ คำกักขฬะเร้าโทสะแต่ คำตอบอ่อนหวานช่วยละลายความโกรธเกรี้ยวให้หายไป” (สุภาษิต 12:18; 15:1) และบางครั้งการไม่ตอบโต้อะไรเลยก็เป็นหนทางที่ดีที่สุด ในการจัดการกับคำพูดหรือความเห็นที่รุนแรง
ก่อนพระเยซูถูกตรึง ผู้นำศาสนาพยายามยั่วยุพระองค์ด้วยคำพูดดังที่ใน มัทธิว 27:41-43 กล่าวว่า แต่ เมื่อเขากล่าวคำหยาบคายต่อพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรงกล่าวตอบเขาด้วยคำหยาบคายเลยแต่ทรงมอบเรื่องของพระองค์ไว้แก่พระเจ้าผู้ทรงพิพากษาอย่างยุติธรรม” (1 เปโตร 2:23)
พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างในการโต้ตอบคนที่ทำผิดกับเรา ด้วยท่าทีที่ถูกต้อง การวางใจพระเจ้าทำให้เราไม่ต้องใช้คำพูดเป็นอาวุธทำร้ายผู้ที่ทำผิดต่อเรา
ขอให้เราทูลต่อพระองค์ในยามที่เราเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่น่ายินดีว่า “พระเจ้าที่รัก โปรดประทานการรู้จักบังคับตนผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ ในยามที่ข้าพระองค์ถูกทดลองให้พูดถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม  คำตอบอ่อนหวานคือวิธีละลายใจที่แข็งกระด้าง”
กษัตริย์ซาโลมอน ผู้เขียนพระธรรมสุภาษิตเกือบทั้งหมดได้เขียนเกี่ยวกับอำนาจของคำพูดบ่อยครั้ง ท่านกล่าวว่า ความตายความเป็นอยู่ที่อำนาจของลิ้น”(สุภาษิต 18:21) คำพูดทำให้เกิดผลดีหรือผลร้ายก็ได้ (สุภาษิต 18:20) เราจะมีคำพูดที่ก่อให้เกิดผลดีได้อย่างไร มีทางเดียวคือ เราต้องหมั่นรักษาจิตใจ จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้านเพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ” (สุภาษิต 4:23)
พระเยซูทรงเปลี่ยนแปลงจิตใจของเรา เพื่อให้เรามีคำพูดที่ดีที่สุด คือ ซื่อสัตย์ สงบ เหมาะสมและถูกกาลเทศะ
ขอให้เราอธิษฐานดังนี้ “ข้าแต่พระเจ้า พระศิลาและพระผู้ไถ่ของข้าพระองค์ ขอให้ถ้อยคำจากปากของข้าพระองค์ และการรำพึงภาวนาในจิตใจ เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์เถิด สดุดี 19:14
                ในเว็บไซต์มักจะมีช่อง แสดงความเห็นที่ผู้อ่านสามารถแสดงความคิดเห็นของตนได้ หลายคนมักจะระบายอารมณ์ด้วยถ้อยคำหยาบคายถากถางโดยไม่มีมูลความจริงหรือมีมูลเหตุ
พระเจ้าทรงให้เรามีอิสระมาก เราเลือกได้ว่าจะพูดอะไร เมื่อไร อย่างไร ข้อความที่เราพูด เขียน หรือโพสต์นั้นสำแดงความรักของพระเจ้าไหม เป็นประโยชน์กับใครบ้าง และสะท้อนพระลักษณะของพระคริสต์หรือไม่ จงให้ความรักเป็นเป้าหมายสูงสุดของคุณในการพูดบนโลกโซเชียล
ไวที่จะพูดเพื่อก่อ ในท่ามกลางความขัดแย้ง
สวนหลายไร่ลุกเป็นไฟเมื่อลมพัดเอาเถ้าถ่านที่ยังติดไฟอยู่หรือก้นบุหรี่ที่ถูกทิ้งข้างทาง ในทุ่งหญ้าแห้งแล้ง ประกายไฟเพียงนิดก็ทำให้เกิดอัคคีภัยร้ายแรงได้
ยากอบก็พูดถึงลิ้น ว่ามันเป็น โลกที่ไร้ธรรม ในบรรดาอวัยวะของเรา เป็นเหตุให้ทั้งกายมลทินไป ทำให้วัฏฏะแห่งชีวิตเผาไหม้และมันเองก็ติดไฟโดยนรก” (ยากอบ 3:6)
                คำพูดสามารถทำให้ความสัมพันธ์ทั้งหลายขาดสะบั้นลงหรือสร้างและรักษาความสัมพันธ์ต่อกันยิ่งดีขึ้น สุภาษิต 12:18 กล่าวว่า มีบางคนที่คำพูดพล่อยๆ ของเขาเหมือนดาบแทง แต่ลิ้นของปราชญ์นำการรักษามาให้เช่นเดียวกับไฟที่มีทั้งด้านเผาทำลายและด้านที่เป็นประโยชน์ ความตายความเป็นก็อยู่ที่อำนาจของลิ้น” (สุภาษิต 18:21)
ให้เรามีลิ้นที่ ประกอบด้วยเมตตาคุณเสมอ” (โคโลสี 4:6) เมื่อแสดงความคิดเห็นท่ามกลางความขัดแย้ง ให้พระเจ้าใช้ลิ้นของเราถวายเกียรติแด่พระองค์
ให้เราอธิษฐานว่า “ลูกจะใช้ถ้อยคำที่เป็นพร และหนุนใจผู้อื่นเสริมสร้างผู้คนมากกว่าทำลาย เพราะพระองค์ทรงพอพระทัยเช่นนั้น
ไวที่จะใช้ลิ้นของปราชญ์
อ่าน: สุภาษิต 10:18-21; 12:17-19
ลิ้นของปราชญ์นำการรักษามาให้ - สุภาษิต 12:18
ผู้เขียนสุภาษิต 12:18 กล่าวถึงวิธีการใช้ลิ้นอย่างปราชญ์คือ ลิ้นของปราชญ์นำการรักษามาให้พระเจ้าทรงประทานลิ้นให้กับเราเพื่อนำการรักษาไปสู่ทุกคนที่เราคุยด้วย
ให้เราบอกกับพระเจ้าว่า “ลูกจะใช้ลิ้นตามที่พระองค์ทรงประสงค์คือเยียวยารักษาจิตใจทุกคนที่ลูกคุยด้วย”
ขอทรงเฝ้าระวังถ้อยคำที่เรากล่าว ให้สะท้อนถึงพระองค์และความรักของพระองค์ ช่วยให้ลิ้นของเราเอ่ยคำเยียวยา และไม่ทำร้าย  “จงให้กำลังใจกันและเสริมสร้างซึ่งกันและกันขึ้น” 1 เธสะโลนิกา 5:11
หลักการเหตุผล
แต่ลิ้นนั้นไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำให้เชื่องได้ - ยากอบ 3:8
มนุษย์เรียนรู้วิธีการทำให้สัตว์ป่าเชื่องได้ ไม่ว่าจะเป็นหมูจิ๋วเวียดนามหรือหมาป่าไซบีเรีย หลายคนสนุกกับการสอนลิงให้ แสดงอัครทูตยากอบเขียนไว้ว่า เพราะสัตว์เดียรัจฉานทุกชนิด ทั้งนก สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ในทะเลก็เลี้ยงให้เชื่องได้ และมนุษย์ก็ได้เลี้ยงให้เชื่องแล้ว” (ยก.3:7)
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราไม่อาจทำให้เชื่องได้ เรามีปัญหากับการควบคุมอวัยวะเล็กๆ คือลิ้น ยากอบกล่าวว่า แต่ลิ้นนั้นไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำให้เชื่องได้” (ยก.3:8)
ทำไม เพราะถึงแม้คำพูดจะออกมาจากลิ้น แต่กลับเริ่มต้นมาจากภายในใจของเรา ด้วยว่าปากนั้น พูดจากสิ่งที่มาจากใจ” (มธ.12:34)
ถ้าเราไม่สามารถทำให้ลิ้นเชื่องได้ ลิ้นจะกลายเป็นปัญหาประจำวันของเรา (ยก.3:10) ด้วยพระคุณของพระเจ้าพระองค์ ตั้งยามเฝ้าปากของเรา พระองค์จะทรง รักษาประตูริมฝีปากของข้าพระองค์” (สดด.141:3)
ให้เราขอบพระคุณพระเจ้าว่า “ขอบพระคุณพระองค์ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ทรงช่วยให้ลิ้นที่ไม่เชื่องของข้าพระองค์ สามารถอยู่ภายใต้การควบคุมของพระองค์ได้”
สงครามคำพูด
บ้านหรือโบสถ์ของเราก็อาจแตกหักได้ด้วยถ้อยคำที่แสดงความเกลียดชังเพียงไม่กี่คำ ยากอบเขียนไว้ว่า จงดูเถิด ไฟนิดเดียวอาจเผาป่าใหญ่ให้ไหม้ได้หนอ” (ยากอบ 3:5) วิธีการหลีกเลี่ยงการพูดโต้เถียงกันมีอยู่ในพระธรรมสุภาษิต คำตอบอ่อนหวานช่วยละลายความโกรธเกรี้ยวให้หายไป แต่คำกักขฬะเร้าโทสะ” (สุภาษิต 15:1)
คำพูดเล็กๆ อาจก่อให้เกิดสงครามใหญ่ได้ แต่โดยพระคุณพระเจ้า เมื่อเราเลือกที่จะไม่ตอบโต้ด้วยคำพูด เราก็ถวายเกียรติแด่พระเยซูองค์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา เมื่อพระองค์ทรงถูกทำร้ายและถูกดูหมิ่น พระองค์ทรงทำให้สำเร็จตามคำพยากรณ์ของอิสยาห์ที่ว่า ท่านถูกบีบบังคับและท่านถูกข่มใจ ถึงกระนั้นท่านก็ไม่ปริปาก” (อิสยาห์ 53:7)
สุภาษิตเรียกร้องให้เราพูดความจริงและแสวงหาสันติผ่านถ้อยคำของเรา ลิ้นที่สุภาพเป็นต้นไม้แห่งชีวิตคำเดียวที่ถูกกาละก็ดีจริงๆ” (สุภาษิต 15:4,23)
คำพูดพลั้งมีพลังผลาญทำลาย  พูดร้ายๆ กลับกลายไปกันใหญ่
เลือกกาละแล้วจึงพูดออกไป  พูดจากใจเป็นคำนำพระพร - Anon.
ถ้อยคำที่ถูกกาล
ถ้อยคำที่พูดเหมาะๆ จะเหมือนลูกท้อทองคำล้อมเงิน - สุภาษิต 25:11
คุณอาจเคยได้ยินคำกล่าวว่า ถูกที่ถูกเวลาพระคัมภีร์บอกเราว่า ถ้อยคำและการพูดของเราต้องถูกเวลาด้วย ลองนึกถึงครั้งที่พระเจ้าทรงเคยใช้คุณให้กล่าวถ้อยคำที่เหมาะแก่เวลาเพื่อหนุนใจใครสักคน หรือเมื่อคุณเคยอยากจะพูด แต่นึกขึ้นได้ว่าเงียบไว้ก็ดีกว่า
พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า มีวาระที่เหมาะสมในการพูด (ปัญญาจารย์ 3:7) ซาโลมอนเปรียบเทียบคำพูดที่ควรแก่กาลเทศะว่าเป็นเหมือนลูกท้อทองคำล้อมเงินงดงาม ทรงคุณค่า และประดิษฐ์อย่างพิถีพิถัน (สุภาษิต 25:11-12) การรู้ว่าควรจะพูดในเวลาใดเป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้พูดและผู้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นถ้อยคำแสดงความรัก หนุนน้ำใจ หรือตักเตือนว่ากล่าว เราควรเงียบในเวลาและสถานที่ที่เหมาะสมเช่นกัน เมื่อเราถูกทดลองให้เย้ยหยันดูแคลน หรือใส่ร้ายเพื่อนบ้าน ซาโลมอนกล่าวว่า การยับยั้งลิ้นไว้และรู้จักเงียบในเวลาที่ควรเงียบคือคนฉลาด (สุภาษิต 11:12-13) เมื่อการพูดมากหรือความโกรธ ล่อลวงให้เราทำบาปต่อพระเจ้าหรือเพื่อนมนุษย์ เราต่อต้านได้ด้วยการช้าในการพูด (สุภาษิต 10:19; ยากอบ 1:19)
การรู้ว่าจะพูดอะไร และควรพูดเมื่อไรเป็นเรื่องยาก พระวิญญาณจะทรงช่วยให้เรามองออก พระองค์จะทรงช่วยให้เราใช้ถ้อยคำที่เหมาะเจาะในเวลาที่เหมาะสม และด้วยท่าทีที่ถูกต้อง เพื่อเห็นแก่ผู้อื่น และเพื่อพระเกียรติของพระองค์
ให้เราบอกกับพระเจ้าว่า “พระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงใช้ให้ผู้อื่นพูดคำหนุนใจและคำท้าทายข้าพระองค์ ขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์มีสติปัญญาที่จะรู้ว่าเมื่อใดควรพูดหรือควรเงียบ”
นกฮูกเฒ่าเจ้าปัญญา
สติปัญญากับการจำกัดคำพูดมีความเกี่ยวโยงกัน สุภาษิต 10:19 บอกว่า การพูดมากก็จะสะสมการทรยศ แต่เขาผู้ยับยั้งริมฝีปากของตนเป็นผู้หยั่งรู้
คนฉลาดจะระมัดระวังคำพูดหรือการพูดมากน้อยในแต่ละสถานการณ์ เราควรระวังคำพูดเมื่อเราโกรธ ยากอบขอร้องเพื่อนผู้เชื่อว่า จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ” (ยก.1:19) การยับยั้งคำพูดยังแสดงให้เห็นว่าเรายำเกรงพระเจ้าอีกด้วย กษัตริย์ซาโลมอน กล่าวว่า พระเจ้าทรงสถิตในสวรรค์ และอยู่บนแผ่นดินโลก เหตุฉะนั้นเจ้าจงพูดน้อยคำ” (ปญจ.5:2)  
ปากของเรา ปากกาของเรา ควรจะอยู่ในภาวะต้องสึกสำนึกในพระคุณที่พระเจ้าประทานความยับยั้งชั่งใจแก่เรา
เมื่อเราต้องการทำให้ผู้อื่นประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงที่พระคริสต์ทรงกระทำ ให้เราถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยสิ่งที่เราพูด หรือไม่พูด – RK
ให้เราบอกกับพระเจ้าว่า “พระเจ้าเจ้าข้า ลูกจะไม่ใช้คำพูดทำลายผู้อื่นแล้วสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง แต่จะเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่นก่อนเพื่อจะรับใช้พระองค์และเพื่อแผ่นดินของพระองค์”
พระคำที่ช่วยเหลือและเยียวยา
ข้าแต่พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ - มัทธิว 6:9
เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 1863 ชายผู้มีชื่อเสียงสองคนได้กล่าวสุนทรพจน์ในพิธีมอบถวายสุสานทหารแห่งชาติในเมืองเก็ตตี้สเบิร์กรัฐเพนซิลเวเนีย ผู้กล่าวสุนทรพจน์คนสำคัญ คือ เอ็ดเวิร์ด เอเวอเร็ต อดีตผู้ว่าฯ สมาชิกรัฐสภาและอธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด เอเวอเร็ตได้กล่าวคำสุนทรพจน์อย่างเป็นทางการยาวสองชั่วโมง ตามด้วยประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น ที่กล่าวสุนทรพจน์ เพียง 2 นาที  [1]
ทุกวันนี้ คำปราศรัยแห่งเก็ตตี้สเบิร์กของลินคอล์นยังเป็นที่กล่าวถึงอย่างแพร่หลาย แต่สุนทรพจน์ของเอเวอเร็ตเกือบจะถูกลืมไปแล้วที่เป็นอย่างนี้ไม่ใช่เพราะความสามารถทางวาทศิลป์ของลินคอล์นเท่านั้น แต่ในวันนั้น คำพูดของท่านได้เข้าถึงจิตใจของคนทั้งประเทศที่ปวดร้าวเพราะสงครามกลางเมือง และทำให้เกิดความหวังในวันข้างหน้า
คำพูดมีความหมายได้โดยไม่จำเป็นต้องยืดยาว คำอธิษฐานของพระเยซูคริสต์เป็นคำสอนหนึ่งที่สั้นและน่าจดจำมากที่สุด เป็นการช่วยเหลือและเยียวยา และเตือนให้เราไม่ลืมว่าพระเจ้าทรงเป็นพระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ของเรา ทรงมีฤทธิ์อำนาจทั้งในโลกและในสวรรค์ (มัทธิว 6:9-10) พระองค์ประทานอาหาร การอภัยโทษ และความอดทนให้เราทุกวัน (มัทธิว 6:11-13)



[1] https://thaiodb.org/2014/01/07/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A2/

Forgiveness


Forgiveness


Real forgiveness
Do we live out what we believe?


PHILADELPHIA - An Amish community that lost five girls in a Pennsylvania schoolhouse shooting massacre last year has donated money to the widow of the gunman.
The Nickel Mines Accountability Committee, which was set up to handle more than $4.3 million in donations from around the world after the shootings, said it had given an unspecified "contribution" to Marie Roberts, a mother of three.
Her husband, Charles Carl Roberts, a local milk truck driver who was not Amish, tied up and shot 10 Amish schoolgirls aged 6 to 14 in their classroom last Oct. 2, killing five of them before turning the gun on himself.
After the shootings, members of the deeply religious Amish community in Lancaster County about 60 miles west of Philadelphia, said they wanted to forgive the gunman.
In a statement released on behalf of the community, the committee said, "Many from Nickel Mines have pointed out that forgiveness is a journey, that you need help from your community of faith and from God ... to make and hold on to a decision not to become a hostage to hostility.
"It is understood that hostility destroys community," it said.
The Amish, descendants of Swiss-German settlers, eschew many aspects of modern life such as cars and telephones, and place particular importance on the principle of forgiveness.

Matthew 6:14-15 (NLT)
14 "If you forgive those who sin against you, your heavenly Father will forgive you. 15 But if you refuse to forgive others, your Father will not forgive your sins.
What does today's God's Story scripture teach us about forgiveness?
Jesus makes it real plain, even though it seems far from simple. If we don't forgive others, God won't forgive us. Why?
Because when we don't forgive others, we are acting as if we don't need God's forgiveness just as much as those who have sinned against us. God forgives us because of His mercy and grace. His forgiveness is not the direct result of us forgiving someone else, but it is based on our willingness to come clean and repent of our own sin.
Have you noticed that it is much easier to ask God to forgive us than it is to forgive others?
We know that Jesus forgave those who crucified Him. We believe what He taught about forgiveness. Are we living it? Abiding in Christ will make us want to forgive like Jesus forgives.
The updated story of the Amish giving money to the wife and children of the murderer who killed their loved ones in the school shootings is an amazing example of living out the words of Jesus.

How can we connect today's God's Story scripture to our lives?
 Talk to God right now. Thank Him for His forgiveness for your sins through the death and resurrection of His Son, Jesus Christ. Confess the lack of forgiveness toward others in your own life. Ask His Spirit to empower you to stay so connected to Jesus every day that you will forgive others as Jesus does.
 Whenever you ask God to forgive you of some sin, ask Him to remind you if you have forgiven someone who has wronged you?
 Keep a written journal for two weeks and answer these three questions every day: (1) Was I willing to love others like Jesus? (2) Am I willing to forgive those who wronged me today? (3) Am I trusting God because He is in control, no matter what?
How can we connect today's story and God's Story and our story to others?
 If someone needs your forgiveness, trust Jesus to give you the love you need to give it. If you need someone to forgive you, trust Jesus to give you the humility and courage you need to ask for it.
 Use this incredible story of the Amish being willing to forgive the murderer and now give money to his family as a conversation starter with someone in your storysphere (circle of influence). It should help you learn the story of someone else and give you the opportunity to share part of your story.
 Encourage your family, your small group, or your youth group to pray for the Amish community and the family of the murderer in Pennsylvania. Use this time to also pray for the need for your family or group to be able to forgive as Jesus forgives.

Got forgiveness?
This week the DailyBide is examining the key attitudes and actions in personal relationships. Forgiveness is key to knowing God and long-lasting relationships.

Charles Johnson took his problem right to the top. He was scheduled to lose his house in foreclosure to his mortgage lender, Bank of America last week. It would have put him and family (six children) out on the street with no place to live. So Charles boldly called the president of Bank of America, one of largest national banks, for a personal appointment. To his great surprise the bank president agreed to meet with him.
According to an unnamed bank source, at the conclusion of the appointment, the bank president was moved by Charles Johnson's desperate situation and forgave the outstanding, overdue debt of $483,686 owed on the Johnson family mortgage.
In this time of increasing foreclosures, this forgiveness of a substantial mortgage is a remarkable act of compassion and mercy by a major financial institution. A family facing the loss of their home was saved from homelessness..
In a strange turn of events later that same day, Charles Johnson was arrested outside a convenience store near his home and charged with attempted assault on a man who Johnson said owed him $75. Eyewitnesses said Johnson was very angry and threatening violence while demanding payment from a former co-worker. They had worked together at a local Management Corporation until they were both laid off last November. No further details about Johnson and the alleged victim are available at this time.
Ephesians 4:32
32 Be kind to one another, tenderhearted, forgiving one another, as God in Christ forgave you.
Matthew 6:12
12 and forgive us our debts,
as we also have forgiven our debtors.
Matthew 6:15
15 but if you do not forgive others their trespasses, neither will your Father forgive your trespasses. (ESV)
What does today's God's Story Scripture teach us about forgiveness?
Today's story is as old as Jesus. He told it to let us know how ridiculous it is to not forgive others when we have been forgiven for everything we have ever done or ever will do. If we do not forgive, we will not be forgiven. God's command is absolute and crystal clear.
Forgiveness is something we decide to do. It is unconditional, not based
on behavior or how often we ask for it. It is not granted or withheld
according to the severity of the offense or limited to a certain number of
requests. While we may want to add conditions to forgiveness that make
sense to us, God adds none. He says in all situations, at all times---he
forgives and he commands us to forgive.
Like Charles Johnson (a.k.a. you and me) it is hypocritical not to forgive.
As God loves and forgives us, we love and forgive others. If we don't
forgive we hurt ourselves as much as we hurt the person we refuse to
forgive. Holding on to a grudge and unforgiveness is like letting a person
live inside your head rent free.
How can we connect my story to God's Story Scripture?
Forgiveness is the major link between you and God. Nothing makes a relationship stronger than to know that all mistakes have been forgiven. The walls of separation between you and God are torn down and obliterated when you understand God's unconditional forgiveness.
Forgiveness from God is the life blood of a Christian. It is acceptance, freedom and motivation. It is unspeakable joy and security—nothing can separate us from the love of God.
Write your own song of praise to God for the remarkable, undeserved, unconditional forgiveness and love given to you.
Live in freedom and forgiveness. Show it and share it.
How can we connect today's story and God's Story and our story to their story?
Psychologists tell us that most of the troubled people in the world are desperately searching for forgiveness. It's what everyone needs. God's Story is unforgettable and unmatched when his only son willingly gives his own life to purchase forgiveness for the whole world.
  • Tell God's story with passion and enthusiasm. It will sweep away feelings of doubt, fear and condemnation in all who hear and believe.
  • Demonstrate the freedom God gives us when we forgive others completely as he forgives us.
  • Find songs and stories about God's forgiveness to share with your friends. Invite them to experience it for themselves.

To Worry or not To Worry?


To Worry or not To Worry?

Mat 6:25-34



What is worry?
a. Worry is to torment oneself with or suffer from disturbing, thoughts; fret
b. Worry is to torment with cares, anxieties, etc.; trouble; plague.
c. Worry or anxiety is currently the number-one mental health disorder in America according Dr. Minirth and Meir in their book Worry Free Living.  

What do people worry about?
a. Food, Shelter and Clothing  Mat 6:25-34
b. Health or Sickness – Noble worry about his dying son – John 4:19
c. Sleepless worry for friend  - King Darius worry about Daniel after he was tricked into putting Daniel in lion's den  - Daniel 6:18
d. Worldly worry -  Mary and Martha   Luke 10:38 – 42


Why do we or people worry?
a. Fear of unknown outcome -
b. Lack of faith in God  - Disciple in the boat with Jesus
c. I think it's a defense mechanism that is built in us to warn us about the possible problem so we can do something about it.  The problem is when we worry but do nothing about it or when we can't do anything about it but still keep worrying to the detriment of our health.


What is the danger of worrying? Physically, Emotionally and Spiritually?
a. Stress which lead to health problem such indigestion, as high blood pressure and stroke.  32 yrs study show men who worry were 4 ½ time likely to have heart attack then worry free counterpart.
b. Emotionally imbalance can cause communication problem which lead relationship problem – we can't give an undivided attention to our family because our mind is in the thing we worry about.  
c. Worry is a sin because we do not trust God. We take ownership of the problem instead of relying on God to help us after we turn it over to Him.  The bible tells us not to worry

How do we stop worrying?
   
a. We must remember that worrying is choosing not to trust God.  
b. We need to understand how harmful worry can become in our life
c. Instead of worrying about what we can't do, we need to focus on what God can do
d. We need to keep things in proper perspective
e. We need to replace worry with prayer
f. God's peace can replace worry



Mat 6:25-34 (NIV) 25 "Therefore I tell you, do not worry about your life, what you will eat or drink; or about your body, what you will wear. Is not life more important than food, and the body more important than clothes? 26 Look at the birds of the air; they do not sow or reap or store away in barns, and yet your heavenly Father feeds them. Are you not much more valuable than they? 27 Who of you by worrying can add a single hour to his life? 28 "And why do you worry about clothes? See how the lilies of the field grow. They do not labor or spin. 29 Yet I tell you that not even Solomon in all his splendor was dressed like one of these. 30 If that is how God clothes the grass of the field, which is here today and tomorrow is thrown into the fire, will he not much more clothe you, O you of little faith? 31 So do not worry, saying, 'What shall we eat?' or 'What shall we drink?' or 'What shall we wear?' 32 For the pagans run after all these things, and your heavenly Father knows that you need them. 33 But seek first his kingdom and his righteousness, and all these things will be given to you as well. 34 Therefore do not worry about tomorrow, for tomorrow will worry about itself. Each day has enough trouble of its own.  

1 Peter 5:7 (NLT) Give all your worries and cares to God, for he cares about what happens to you.

Philippians 4:7 (NLT) 6 Don't worry about anything; instead, pray about everything. Tell God what you need, and thank him for all he has done. 7  If you do this, you will experience God's peace, which is far more wonderful than the human mind can understand. His peace will guard your hearts and minds as you live in Christ Jesus.


Philippians 4:19 (NIV) And my God will meet all your needs according to his glorious riches in Christ Jesus.


Psalms 37:1-11 (NLT) A psalm of David. Don't worry about the wicked. Don't envy those who do wrong.
For like grass, they soon fade away. Like springtime flowers, they soon wither.
Trust in the Lord and do good. Then you will live safely in the land and prosper.
Take delight in the Lord, and he will give you your heart's desires.
Commit everything you do to the Lord. Trust him, and he will help you.
He will make your innocence as clear as the dawn, and the justice of your cause will shine like the noonday sun.
Be still in the presence of the Lord, and wait patiently for him to act. Don't worry about evil people who prosper or fret about their wicked schemes.
Stop your anger! Turn from your rage! Do not envy others- it only leads to harm.
For the wicked will be destroyed, but those who trust in the Lord will possess the land.
In a little while, the wicked will disappear. Though you look for them, they will be gone.
Those who are gentle and lowly will possess the land; they will live in prosperous security.



The New Busy is not the old busy. Search, chat and e-mail from your inbox. Get started.