คำแรก - การอภัย
“เมื่อมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า
กะโหลกศีรษะ เขาก็ตรึงพระองค์ ไว้ที่กางเขนที่นั่น พร้อมกับผู้ร้ายสองคนนั้น
ข้างขวาพระหัตถ์คนหนึ่ง และข้างซ้ายอีกคนหนึ่ง ฝ่ายพระเยซูจึงตรัสว่า
“ข้าแต่พระบิดา ขอโปรดอภัยโทษพวกเขา เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไร” (ลูกา 23: 33-34)
นั่นคือเหตุผลที่พระเยซูไปที่กางเขน -
ให้อภัยความบาปของเรา ก่อนหน้าไปที่กรุงเยรูซาเล็ม
พระองค์รู้มานานแล้วว่าตัวเองจะถูกปลงพระชนม์
พันธสัญญาใหม่สอนว่าพระองค์ทรงจงใจปล่อยให้ตัวเองถูกตรึงที่กางเขนเพื่อชดใช้ความผิดบาปของเรา
“ด้วยว่า
พระคริสต์เช่นกันก็ได้ทนทุกข์ครั้งเดียวเท่านั้น
เพราะความผิดบาปคือพระองค์ผู้ชอบธรรมเพื่อผู้ไม่ชอบธรรม
เพื่อพระองค์จะได้ทรงนำเราทั้งหลายไปถึงพระเจ้า” (1เปโตร
3:18)
“พระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์เพราะบาปของเราทั้งหลาย
ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์”
(1 โครินธ์ 15:3)
พระองค์ทรงประกาศการให้อภัยคนเหล่านั้นที่ตรึงพระเยซูที่บนกางเขน
พวกเขาไม่เข้าใจภาพรวมทั้งหมดของสิ่งที่พวกเขาได้ทำไป เพราะพวกเขาไม่รู้ว่า
พระเยซูทรงเป็นพระเมส-สิยาห์ ในขณะที่พระเยซูถูกแขวนอยู่บนไม้กางเขน
พระองค์ก็ทรงอธิษฐานว่า "พระบิดาโปรดทรงยกโทษให้พวกเขา" พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานนี้
ทุกคนที่วางใจในพระเยซูอย่างหมดสิ้นจะได้รับการให้อภัย
การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนก็เพื่อชดใช้บาปของเรา
พระโลหิตของพระองค์ทรงล้างบาปของเราออกไป ในทำนองเดียวกัน พระเยซูคริสต์ ทรงอธิษฐานเผื่อเราทุกคน
ทุกวันนี้ที่ปฏิเสธพระองค์และหันหลังให้พระองค์ หรือทำในสิ่งที่เราไม่สมควรทำ
เพียงแต่เรากลับใจใหม่ และหันกลับมาหาพระองค์
อย่าทำให้พระคุณของพระเจ้านั้นเสียเปล่า
คำที่สอง –ความรอด
มีโจรสองคนก็ถูกตรึงที่กางเขน
คนหนึ่งแขวนอยู่ด้านซ้ายและอีกคนอยู่ด้านขวาของพระเยซู
“ฝ่ายคนหนึ่งในผู้ร้ายที่ถูกตรึงไว้จึงพูดหยาบช้าต่อพระองค์ว่า
ถ้าท่านเป็นพระคริสต์ จงช่วยตัวเองกับเราให้รอดเถิด แต่อีกคนหนึ่งห้ามปรามเขาว่า
เจ้าก็ไม่เกรงกลัวพระเจ้าหรือ เพราะเจ้าเป็นคนถูกลงโทษเหมือนกัน
และเราก็สมกับโทษนั้นจริง เพราะเราได้รับสมกับการที่เราได้กระทำ แต่ท่านผู้นี้ หาได้กระทำผิดประการใดไม่
แล้วคนนั้นจึงทูลพระเยซูว่า พระองค์เจ้าข้า
ขอพระองค์ทรงระลึกถึงข้าพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จเข้าในอาณาจักรของพระองค์
ฝ่ายพระเยซูทรงตอบเขาว่า
“เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า วันนี้เจ้าจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม” (ลูกา
23:39-43)
การกลับใจใหม่ของโจรคนที่สองน่าสนใจมาก
แสดงให้เห็นถึง
1.
ความรอดไม่ได้มาโดยการบัพติศมาหรือเข้าเป็นสมาชิกในคริสตจักร
-
โจรคนนี้ไม่ได้ทำในสิ่งเหล่านี้
2. ความรอดไม่ได้มาโดยความรู้สึกที่ดี
– เพราะโจรคนนี้มีความรู้สึกที่แย่
-
เขาถูกตรึงที่กางเขนในฐานะคนบาป
3.
ความรอดไม่ได้มาโดยการก้าวออกไปข้างหน้าหรือยกมือของเรา
-
เพราะมือและเท้าของโจรถูกตอกที่กางเขนไม่อาจยกได้
4. ความรอดไม่ได้มาด้วย
"การขอให้พระเยซูเข้าไปในใจของเรา"
โจรคนนี้อาจจะประหลาดใจถ้ามีคนบอกให้เขาทำอย่างนั้น!
5. ความรอดไม่ได้มาโดยพูดตาม "คำอธิษฐานของคนบาป"
โจรคนนี้ไม่ได้อธิษฐานตามนี้
เขาได้แต่ขอร้องพระเยซูให้ระลึกถึงเขา
6.
ความรอดไม่ได้มาโดยการเปลี่ยนวิถีชีวิตของเรา โจรคนนี้ไม่มีเวลาที่จะทำอย่างนั้น
โจรคนนี้รอดเช่นเดียวกับที่คุณรอด:
“เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เจ้า
และท่านจะรอดได้ทั้งครอบครัวของท่านด้วย” (กิจการ 16:31)
เชื่อในพระเยซูหมดทั้งใจ
แล้วพระองค์จะทรงช่วยเราให้รอดโดยพระโลหิตและความชอบธรรมของพระองค์เช่นเดียวกันกับที่ทรงช่วยโจรที่กางเขน
คำที่สาม - ความรัก
“ผู้ที่ยืนอยู่ข้างกางเขนของพระเยซูนั้น
มีมารดาของพระองค์กับน้าสาวของพระองค์ มารีย์ ภรรยาของเคลโอฟัส
และมารีย์ชาวมักดาลา ฉะนั้นเมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นมารดาของพระองค์
และสาวกคนที่พระองค์ทรงรักยืนอยู่ใกล้ พระองค์ตรัสกับมารดาของพระองค์ว่า หญิงเอ๋ย
จงดูบุตรของท่านเถิด แล้วพระองค์ตรัสกับสาวกคนนั้นว่า จงดูมารดาของท่านเถิด
และตั้งแต่เวลานั้นมา สาวกคนนั้นก็รับนางมาอยู่ในบ้านของตน (ยอห์น 19:25-27)
พระเยซูทรงบอกให้ยอห์นดูแลมารดาของพระองค์ นี่เป็นการแสดงความรักในฐานะที่เป็นลูกคนหนึ่ง
ที่ต้องการให้ความมั่นใจว่า แม่ของพระองค์บนโลกนี้ได้รับการดูแลหลังจากที่พระองค์
สิ้นใจ พระองค์ยังเป็นห่วงแม่ พระเยซูเป็นพระเจ้าที่ใส่ใจมนุษย์ในโลกนี้
ชีวิตคริสเตียนหลังจากที่เรารอดแล้วยังมีพันธกิจอีกหลายอย่างที่ต้องทำ
เราจำเป็นต้องดูแล พระคริสต์ทรงมอบมารดาสุดที่รักของพระองค์ให้กับอัครสาวกยอห์น
พระองค์ทรงตรัสให้เราดูแลคริสตจักรท้องถิ่น
ไม่มีใครสามารถมีชีวิตคริสเตียนได้โดยที่ไม่ต้องดูแลและรักคริสตจักรท้องถิ่น
นั่นคือความจริงที่ผู้เชื่อสมัยนี้มักจะลืมกัน
“ทั้งได้สรรเสริญพระเจ้าและคนทั้งปวงก็ชอบใจ
ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดให้ผู้ที่กำลังจะรอด” (กิจการ 2:47)
IV.
คำที่สี่ - ความเจ็บปวด
“แล้วก็บังเกิดความมืดทั่วทั้งแผ่นดิน ตั้งแต่เวลาเที่ยงวัน จนถึงบ่ายสามโมง
ครั้นประมาณบ่ายสามโมงพระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามาสะบักธานี” แปลว่า
“พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์
ไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?” (มัทธิว 27:45-46)
การกรรแสงนี้แสดงถึงความเจ็บปวด
แสดงให้เห็นถึงความจริงของพระเจ้าแห่งตรีเอกานุภาพ พระเจ้าพระบิดาหันไปจากพระบุตร
ในขณะที่พระเจ้าพระบุตรทรงแบกบาปของคุณบนไม้กางเขน พระคัมภีร์กล่าวว่า:
“ด้วยเหตุว่า
มีพระเจ้าองค์เดียวและมีคนกลางแต่ผู้เดียวระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์
คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงสภาพเป็นมนุษย์” (1 ทิโมธี 2:5)
V. คำที่สี่
- ความทุกข์ทรมาน
“หลังจากนั้นพระเยซูทรงทราบว่า ทุกสิ่งสำเร็จแล้ว
เพื่อพระคัมภีร์จะสำเร็จจึงตรัสว่า เรากระหายน้ำ
มีภาชนะใส่น้ำองุ่นเปรี้ยววางอยู่ที่นั่น เขาจึงเอาฟองน้ำ
ชุบน้ำองุ่นเปรี้ยวใส่ปลายไม้หุสบชูขึ้นให้ถึงพระโอษฐ์ของพระองค์” (ยอห์น 19:28-29)
ข้อนี้แสดงให้เราเห็นถึงความทุกข์ทรมานของพระเยซูที่ต้องเผชิญและชดใช้ความผิดบาปของเรา:
“ท่านถูกบาดเจ็บเพราะความละเมิดของเราทั้งหลาย
ท่านฟกช้ำเพราะความชั่วช้าของเรา” (Isaiah 53:5).
VI. คำที่หก
- ชดใช้
“เมื่อพระเยซูทรงรับน้ำองุ่นเปรี้ยวแล้ว พระองค์ตรัสว่า สำเร็จแล้ว” (ยอห์น 19:30)
คำที่หกนี้เป็นของคริสตจักรโปรเตสแตนต์ที่ผ่านลงมาสู่หลายยุคหลายสมัย
พระเยซูตรัสว่า "สำเร็จแล้ว"
พระเยซูถูกต้องหรือไม่ที่ทรงตรัสว่า
"สำเร็จแล้ว"?
คริสตจักรคาทอลิกกล่าวว่า "ไม่ใช่อย่างนั้น"
พวกเขาบอกว่าพระองค์จะต้องถูกตรึงกางเขน แล้วจะส่งผู้บังเกิดมาใหม่
แต่พระคัมภีร์กลับไม่กล่าวว่าอย่างนั้น
“เราทั้งหลายได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์
โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์เพียงครั้งเดียวเท่านั้น” (ฮีบรู 10:10)
“เพราะว่าโดยการทรงถวายบูชาหนเดียว
พระองค์ได้ทรงกระทำให้คนทั้งหลายที่ถูกชำระแล้วถึงที่สำเร็จเป็นนิตย์” (ฮีบรู 10:14)
“ฝ่ายปุโรหิตทุกคนก็ยืนปฏิบัติอยู่ทุกวัน ๆ
และนำเอาเครื่องบูชาอย่างเดียวกันมาถวายเนือง ๆ
เครื่องบูชานั้นจะยกเอาความบาปไปเสียไม่ได้เลย ฝ่ายพระองค์นี้ ครั้นทรงถวายเครื่องบูชาเพราะความบาปเพียงหนเดียวซึ่งใช้ได้เป็นนิตย์
ก็เสด็จประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า” (ฮีบรู 10:11-12)
พระเยซูทรงชดใช้บาปของเราและครั้งเดียวที่กางเขน
พระเยซูชดใช้ทั้งหมด
หนี้ทั้งหมดของข้าพระองค์
บาปคราบสีแดงเข้ม
พระองค์ชำระขาวเหมือนหิมะ
(“Jesus Paid It All,” Elvina M. Hall, 1820-1889)
หนี้ทั้งหมดของข้าพระองค์
บาปคราบสีแดงเข้ม
พระองค์ชำระขาวเหมือนหิมะ
(“Jesus Paid It All,” Elvina M. Hall, 1820-1889)
VII. คำที่เจ็ด
– ยอมจำนนต่อพระเจ้า
“พระเยซูทรงร้องเสียงดังตรัสว่า “พระบิดาเจ้าข้า
ข้าพระองค์ฝากจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์”
ตรัสอย่างนั้นแล้วก็สิ้นพระชนม์” (ลูกา 23:46)
คำตรัสสุดท้ายของพระเยซูแสดงให้เห็นถึงการยอมจำนนทั้งสิ้นต่อพระเจ้าพระบิดา
นักเทศน์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างสเปอร์เจียน ชี้ว่านี่สะท้อนให้เห็นคำบันทึกแรกของพระเยซูที่กล่าวแก่โยเซฟและมารีย์ว่า
" ท่านเที่ยวหาเราทำไม ท่านไม่ทราบหรือว่า เราต้องกระทำพระราชกิจแห่งพระบิดาของเรา
?"
(ลูกา 2:49 จากต้นจนจบพระเยซูทรงกระทำตามนำพระทัยของพระบิดา
หนึ่งในนายร้อยผู้ซึ่งตรึงพระองค์ที่กางเขนกำลังฟังเจ็ดคำพูดนี้
เขาเคยตรึงคนที่กางเขนมาจำนวนมากมาย แต่เขาไม่เคยเห็นคนตายในแบบที่พระเยซูสิ้นพระชนม์
เทศนาบทเทศน์ที่ดียอดเยี่ยมเหมือนเป็นสายเลือดที่ไหลออกไป
“ฝ่ายนายร้อยเมื่อเห็นเหตุการณ์ซึ่งบังเกิดขึ้นนั้น จึงสรรเสริญพระเจ้าว่า
“แท้จริงท่านผู้นี้เป็นคนชอบธรรม” (ลูกา 23:47)
นายร้อยคนนั้นนึกถึงพระเยซูได้ขึ้นมาอีกจากนั้นเขาก็กล่าวว่า
“แท้จริงท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า” (มาระโก 15:39)
พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า!
พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย - พระวรกายของพระองค์ทรงดำรงอยู่ - หลังจากความตาย
พระองค์ได้เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ ประทับอยู่เบื้องหระหัตถ์ขวาของพระเจ้า
"เชื่อในพระเยซูคริสต์และท่านจะรอด" (กิจการ 16:31)
มีบางคนคิดว่าเชื่อพระเจ้าก็พอ
แต่พวกเขาผิด ไม่มีใครรอดโดยแค่เชื่อว่ามีพระเจ้าเท่านั้นและปฏิเสธพระเยซู พระเยซูเองตรัสว่า
"ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้ นอกจากทางเรา" (ยอห์น 14: 6) ดร.
เอดับบลิว โทเซอร์ กล่าวว่า "พระคริสต์ไม่ใช่หนึ่งในหลายๆทางที่จะเข้าใกล้พระเจ้าได้
หรือพระองค์ทรงเป็นทางที่ดีที่สุดในหลายๆทาง
แต่พระองค์ทรงเป็นทางเดียวเท่านั้น" (That Incredible
Christian, p. 135) ถ้าคุณไม่วางใจในพระเยซู
คุณจะไม่รอด ไม่ว่าคุณจะเป็นคน "ดี" มากเพียงใดก็ตาม
ไม่ว่าคุณจะไปโบสถ์บ่อยแค่ไหน หรืออ่านพระคัมภีร์
คุณยังไม่รอดหากปราศจากการไว้วางใจในพระเยซู "ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได่
นอกจากทางเรา" พระเยซูผู้เดียวเท่านั้นที่ทรงชำระล้างบาปของคุณได้โดยโลหิตของพระองค์
อ้างอิง
http://www.rlhymersjr.com/Online_Sermons_Thai/2016/032016PM_LastWordsOnCross.html
No comments:
Post a Comment