คริสตจักร คืออะไร ความหมาย แปลว่าอะไร
What is CHURCH ?
พระเจ้าเตรียมโครงการไว้
ตั้งแต่แรกมาแล้ว พระเจ้ามีพระประสงค์ที่จะเลือกสรรประชากรไว้สำหรับพระองค์ วิธีปฎิบัติโครงการนี้ พระองค์ทรงเริ่มต้นโดยเลือกคนเพียงคนเดียวคืออับราฮัม พระองค์ทรงสัญญากับอับราฮัมว่า พระองค์จะกระทำให้ท่านเป็นบิดาของชนชาติใหญ่ที่จะเกิดมาและชาตินั้นจะเป็นพลไพร่ของพระเจ้าเป็นพิเศษ เพื่อพระองค์จะทรงใช้ชาตินั้นเป็นทางที่จะอวยพระพรบรรดาชาวโลก ประชากรของชาตินี้คือชนชาติอิสราเอล จึงเรียกว่าเป็นประชากรของพระเจ้า เป็นคนในเชื้อสายของอับราฮัมทั้งสิ้น (ปฐก. 12:1-3; อพย. 6:7; 19:5-6; ยน. 8:37)
ทั้งนี้มิได้หมายความว่าทุกคนที่เกิดมาเป็นชาวอิสราเอล (ชาวยิว) จะได้รับการอภัยโทษบาปและจะขึ้นสวรรค์ไม่ว่าเขาดีหรือชั่ว ตรงกันข้ามประวัติศาสตร์ของชาติอิสราเอลแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ชาวอิาราเอลส่วนใหญ่บาปหนา ไม่ยอมเชื่อฟังพระเจ้าไม่ยอมกลับใจใหม่ และได้รับการลงโทษจากพระเจ้า คนที่เชื่อฟังและได้วางใจพระเจ้าและซื่อสัตย์ต่อพระองค์เหมือนอับราฮัมก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นไม่ว่ายุคสมัยใด (อสย. 1:4, 11-20; รม. 11:2-7; 1 คร. 10:1-5; ฮบ. 3:16) คนที่ซื่อสัตย์เหล่านี้จึงเป็นประชากรของพระเจ้าที่แท้จริง เป็นอิสราเอลที่แท้จริงในสายพระเนตรของพระเจ้า เขาเป็นเชื้อสายฝ่ายวิญญาณของอับราฮัมโดยแท้ เพราะเขามีความเชื่อเช่นเดียวกับท่าน (รม. 2:28-29; 4:9-12; 9:6-8)
จากคนส่วนน้อยที่เชื่อเหล่านี้พระเจ้าทรงกำหนดบุคคลหนึ่งไว้ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์ เป็นผู้ที่พระสัญญาของพระเจ้าเล็งถึงทั้งสิ้น เป็นยอดแห่งบรรดาประชากรอิสราเอล และเป็นทางที่พระเจ้าจะทรงอวยพระพรมวลมนุษย์ บุคคลนั้นคือพระเยซูคริสต์ (กท. 3:16)
ในสมัยพระเยซูผู้เชื่อที่ยังเหลืออยู่ในประเทศอิสราเอลมีเพียงไม่กี่คน พระเยซูทรงอบรมสั่งสอนคนพวกนี้ และทรงตั้งพวกเขาให้เป็นกลุ่มแรกที่จะเรียกว่าคริสตจักร แต่ว่าก่อนที่จะทรงตั้งคริสตจักรขึ้น พระองค์จำต้องสิ้นพระชนม์ ถูกฝัง ฟื้นคืนพระชนม์ และเสด็จกลับขึ้นสู่สวรรค์เสียก่อน (มธ. 16:18, 21; กจ. 20:28; ทต. 2:14; 1 ปต. 2:9)
วันเกิดของคริสตจักร
ในภาษเดิมคำว่าคริสตจักรหมายถึง ชุมชน หรือที่ประชุม ในพระคัมภีร์เดิมหมายถึงชุมนุมชนชาติอิสราเอล แต่ในพระคัมภีร์ใหม่หมายถึงชุมนุมชนคริสเตียน ผู้ได้เป็นพลไพร่ใหม่ของพระเจ้า คริสตจักรนี้ได้เกิดขึ้นในวันเพนเทคศเต (อพย. 12:3, 6; 35:1, 4; ฉธบ. 9:10; 23:3; มธ. 16:18; 18:17; กจ. 2:1-4; 5:11; 7:38)
วันเพนเทคศเตเป็นวันฉลองประจำปี วันหนึ่งของชาวยิว วันเพนเทคศเตที่กล่าวถึงในหนังสือกิจการคือวันหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู 50 วัน หรือหลังจากวันที่พระองค์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ 10 วัน ในวันนั้นพระเจ้าได้ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาสถิตอยู่กับบรรดาสาวกของพระองค์ ตามที่พระเยซูได้ทรงสัญญาไว้ก่อนแล้ว (ลก. 24:19; ยน. 39; 14:16, 17, 26; 16:7) เหตุการณ์นี้เรียกว่า บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นการกระทำของพระเจ้า ที่ทรงนำทุกคนที่เชื่อพระเยซูเข้าร่วมกันเป็นพระกายของพระองค์และได้รับของประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ (กจ. 1:4-5 ; 2:33 รายละอียดอื่น ๆ ดู บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์)
ตั้งแต่นั้นมาทุกคนที่กลับใจเชื่อพระเยซู ก็ได้มีส่วนร่วมในบัพติศมาด้วยพระวิญญาณนี้หมายความว่า เขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรทันที (กจ. 2:38-47; 1 คร. 12:13) ทั้งนี้เป็นความจริงสำหรับมนุษย์ทุกคนที่เชื่อ โดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ฐานะ ทุกคนที่เชื่อก็ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ และรวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในคริสตจักรของพระเจ้า พวกนี้เป็นเชื้อสายที่แท้จริงของอับราฮัม (กท. 3:14, 28, 29)
พระกายของพระคริสต์
พระเยซูกับคริสตจักรรวมประสานกันสนิทเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนดังศรีษะกับกายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พระองค์จึงเป็นเหตุที่คริสตจักรมีชีวิตและจำเริญเติบโตได้ (อฟ. 1:20-23; 4:15-16; คส. 1:18; 2:19) ศรีษะมีอำนาจเหนือร่างกายฉันใด พระเยซูก็มีอำนาจเหนือคริสตจักรนั้น (อฟ. 1:20-23) คริสตจักรก็ยังมีส่วนร่วมในชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ และไม่มีอำนาจใด ๆ ในจักรวาลที่จะทำลายคริสตจักรของพระเจ้าได้ (มธ. 16:18; อฟ. 1:21-23; 2:5-7; 3:10)
เนื่องจากคริสตจักรได้รับความชอบธรรมจากพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์ พระเจ้าจึงทรงเห็นว่าคริสตจักรอยู่ในพระคริสต์ คริสตจักรจึงไม่มีตำหนิริ้วรอยหรือมลทินแต่อย่างใดในสายพระเนตรของพระเจ้า (อฟ. 5:27; คส. 1:22)
คริสตจักรที่กล่าวถึงนี้หมายถึงบรรดาคริสเตียนทุกยุคทุกสมัย จึงเรียกว่า คริสตจักรสากล แต่มนุษย์ไม่เห็นคริสตจักรเหมือนที่พระเจ้าทรงเห็น เพราะคนเห็นเฉพาะคริสเตียนเหล่านั้นที่อยู่ในโลกในสมัยของเขาและที่อยู่ในประเทศของเขา รวมทั้งคริสเตียนดีและคริสเตียนที่อ่อนแอ พระเจ้าทรงเห็นคริสตจักร “ในพระคริสต์” แต่มนุษย์เห็นคริสตจักรในโลก มีริ้วรอยตำหนิเพราะคริสเตียนยังอยู่ในเนื้อหนัง และจะไม่พ้นอิทธิพลของเนื้อหนังจนกระทั่งไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ (เปรียบเทียบ 1 คร. 1:2 กับ 1 คร. 3:1-3 และเปรียบเทียบ อฟ. 1:1-4 กับ อฟ.4:17-24)
นอกจากนั้นคริสตจักรต่าง ๆ มีทั้งคริสเตียนแท้และคริสเตียนปลอม ซึ่งบางทีก็ดูยากจึงแยกออกจากกันไม่ได้ แต่ในวันพิพากษาพระเจ้าจะทรงแยกออกจากกันอย่างแน่นอน คนที่เชื่อจริงจะรอด คนที่ไม่เชื่อจริงต้องพินาศ พระองค์เพียงผู้เดียวที่รู้ว่าใครเป็นของพระองค์แน่ (มธ. 13:24-30; 34-43 , 47-50; 1 คร. 10:1-14; 2 คร. 13:5; 2 ทธ. 2:19)
คริสตจักรประจำท้องถิ่น
คำว่าคริสตจักรยังมีความหมายอีกอย่างหนึ่ง เป็นความหมายที่คนทั่ว ๆ ไป ย่อมรู้ดีอยู่แล้วคือ หมายถึงพวกคริสเตียนที่อยู่ในท้องถิ่นหนึ่งท้องถิ่นใดมาร่วมประชุมกัน เรียกว่า คริสตจักรประจำท้องถิ่น คริสตจักรสากล เพียงแต่ย่อส่วนลงได้พอเหมาะกับจำนวนคนในท้องถิ่น (กจ. 20:17; 1คร. 1:2)
ทุก ๆ คริสตจักรนั้นปกครองตนเองและร่วมสามัคคีธรรมกับคริสตจักรอื่น ๆ (กจ. 11:27-30; 1 คร. 16:1-4; คส. 4:15-16) ไม่มีสภาควบคุมหรือรวบรวมทุกคริสตจักรไว้ให้เป็นองค์การ แต่คริสตจักรทุกแห่งต้องให้การกับพระเยซูโดยตรง เพราะพระองค์ทรงเป็นประมุขของคริสตจักร เป็นศรีษะของพระกายจึงไม่มีโบสถ์ใหญ่หรือหัวหน้าใหญ่ฝ่ายโลกนี้ที่จะออกกฏเกณฑ์ต่าง ๆ แต่คริสตจักรประจำท้องถิ่นก็ควรจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน และมีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในใจของคริสเตียนทุกคน (อฟ. 4:4-6)
ตามคำสั่งของพระเยซูคริสต์และตัวอย่างของคริสตจักรเริ่มแรก ทุกคนที่กลับใจเชื่อและรับเอาพระเยซูไว้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดควรจะรับบัพติศมา (มธ. 28:19-20; กจ. 2:38, 41; 10:48 ดู บัพติศมา) ความเชื่อของเขาทำให้เขาเป็น “อวัยวะของพระกายของพระเยซูคริสต์” คือเป็นสมาชิกของคริสตจักรสากล เมื่อเข้าไปร่วมกับพวกคริสเตียนในท้องถิ่นนั้น ก็เป็นสมาชิกของคริสตจักรประจำท้องถิ่นที่นั้น (กจ. 2:41)
พระคัมภีร์ไม่มีคำสั่งว่า คริสตจักรจะต้องประชุมที่ไหน สมัยพระคัมภีร์เขาประชุมกันที่บ้านของสมาชิกคนหนึ่ง หรือที่อื่นก็ได้แล้วแต่สะดวก (กจ. 12:12; 19:9; 20:7-8; รม. 16:5, 14, 23; คส. 4:15) การประชุมของคริสตจักรควรจะเรียบร้อย แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ ควรทำให้ทุกคนจำเริญขึ้นฝ่ายวิญญาณ (1 คร. 14:26, 40) การงานของคริสตจักรที่พระเจ้าจัดไว้เพื่อช่วยบรรดาคริสเตียนให้เติบโตขึ้นคือ การสั่งสอนพระวจนะ การร่วมสามัคคีธรรม การนมัสการพระเจ้า การร้องเพลงสรรเสสริญ การอธิษฐานและการปฎิบัติศีลระลึกหรือที่เรียกว่าศีลมหาสนิท (กจ. 2:42; 20:7; 27, 1 คร. 11:23-33; 14:15 ดู ศีลระลึก)
เป็นหน้าที่ของคริสเตียนที่จะนำข่าวประเสริฐไปประกาศแก่ชาวโลกที่ยังไม่เชื่อ พอคนกลับใจเชื่อก็ควรนำให้เขารับบัพติศมา และอบรมในคริสตจักรให้เขาได้เติบโตขึ้นในฝ่ายจิตวิญญาณ จนเป็นสาวกที่แท้จริงของพระคริสต์ (มธ. 28:19-20; กจ. 1:7-8; 8:4; รม. 10:14-17 ดู ของประทานของพระวิญญาณ)
การดำเนินงานของคริสตจักร
พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงหน้าที่ต่าง ๆ ของคริสตจักรไว้อย่างชัดเจน แต่ไม่ค่อยได้กล่าวถึงรายละเอียดการปฎิบัติหน้าที่เหล่านั้น ไว้มากนัก พระคัมภีร์ได้วางหลักเอาไว้ แต่การปฎิบัติย่อมจะแตกต่างกันตามยุคสมัยและสังคม ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า ในคริสตจักรไม่มีการจัดระเบียบของคริสตจักรเลย พระเจ้าทรงสั่งให้แต่งตั้งผู้ปกครองเป็นผู้นำของคริสตจักร เพื่อจะดูแลรักษาและสอนเหล่าสมาชิกให้เติบโตขึ้น แล้วก็ยังมีกลุ่มหนึ่งที่จะดำเนินงานทั่ว ๆ ไป คือพวกมัคนายก (ดู ผู้ปกครองคริสตจักรมัคนายก)
ผู้ที่เข้ารับตำแหน่งเป็นผู้นำของคริสตจักรดังกล่าวนี้ อาจมีความสามารถต่าง ๆ ที่พระเจ้าประทานให้ เพื่อคริสตจักรจะได้มีชีวิตที่สมบูรณ์รอบคอบ คนที่พระเจ้าประทานให้คริสตจักรเหล่านี้คือ อัครทูต ผู้เผยพระวจนะ ผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ ศิษยาภิบาลและอาจารย์ (อฟ. 4:11) ในกลุ่มคนเหล่านี้ถ้าหากคนหนึ่งคนใดประจำอยู่ที่เมืองไหน เขาย่อมร่วมอยู่ในการปกครองคริสตจักรที่นั่น
พวกอัครทูตและพวกผู้เผยพระวจนะ (บางทีเรียกว่าศาสดาพยากรณ์) ดูเหมือนว่า พระเจ้าประทานให้คริสตจักรสมัยเริ่มแรกโดยเฉพาะ (ดู อัครทูต ผู้เผยพระวจนะ) ส่วนผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ ถึงแม้ว่าคริสเตียนทุกคนต้องประกาศข่าวประเสริฐต่อคนอื่น ๆ แต่ก็ยังมีบางคนที่มีพระพรพิเศษในเรื่องนี้ (กจ. 21:8; 2 ทธ. 4:5 ดู ผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ) ทำนองเดียวกันคริสเตียนทุกคนควรเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน สอนพระคัมภีร์ให้กันและกัน แต่ยังมีบางคนที่มีความสามารถพิเศษในเรื่องนี้ด้วยที่พระคัมภีร์เรียกว่าศิษยาภิบาลและอาจารย์ คำว่า ศิษยาภิบาลตรงกับคำว่า ผู้ดูแลรักษาฝูงแกะหรือคนเลี้ยงแกะของพระเจ้า (ยน. 21:15-17; 1 ปต. 5:2; กจ. 20:28 ดู ศิษยาภิบาล) ส่วนอาจารย์เป็นคนที่พระเจ้าอวยพระพรเกี่ยวกับการเข้าใจและการสอนพระคัมภีร์ (1 ทธ. 5:17 ดูอาจารย์)
เราไม่ควรคิดว่าคนประเภทต่าง ๆ ดังกล่าวนี้จะรับหน้าที่เฉพาะเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คนอาจได้รัยพระพรจากพระเจ้าหลายอย่างเช่น เขาอาจเป็นทั้งอัครทูต ผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ และศิษยาภิบาลก็ได้ ตัวอย่างคนที่ได้รับพระพรจากพระเจ้าหลายด้านได้แก่เปาโล (รม. 15:20; 1 ทธ. 1:1; 2:7) ยากอบ (กท.1:19; 2:9-10)
ทิโมธี (1 ทธ. 4:13-16; 2ทธ. 4:5) บารนาบัส (กจ. 11:22-26; 14:14 ) สิลาส (กจ. 15:32; 17:10-14) เป็นต้น
ความรับผิดชอบของสมาชิกคริสตจักร
ถึงแม้ว่าอัครทูต ผู้เผยพระวจนะ ผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ ศิษยาภิบาล และอาจารย์เป็นคนที่พระเจ้าประทานให้คริสตจักร แต่ไม่ใช่หน้าที่ของคนเหล่านี้ที่จะทำงานของคริสตจักรทุกอย่าง ตรงกันข้ามหน้าที่ของเขาคือ สอนคนอื่นให้ทำงานด้วย ในเอเฟซัส 4:11-13 สอนว่า พระเจ้าประทานคนเหล่านี้เพื่อจะช่วยสมาชิกให้เขาสามารถปฏิบัติงาน เพื่อคริสตจักรจะเจริญขึ้น หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งว่า เขาสอนคนอื่นให้สามารถสอนคนอื่น ๆ ได้ด้วย (2 ทธ. 2:2)
คริสเตียนทุกคนมีความสามารถที่พระเจ้าประทานให้ความสามารถเหล่านี้พระคัมภีร์เรียกว่าของประทานฝ่ายวิญญาณ ซึ่งมีหลายอย่างนอกเหนือจากที่กล่าวไว้ในเอเฟซัส 4:11 พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงประทานของประทานของพระองค์ตามชอบพระทัยของพระองค์ (1 คร. 12:1; 11:18) ร่างกายของเราประกอบด้วยอวัยวะทุกส่วนซึ่งมีหน้าที่คนละอย่างฉันใด คริสตจักรของพระองค์ก็ประกอบด้วยสมาชิกที่มีความสามารถคนละอย่างฉันนั้น (รม. 12:4-8; 1 คร. 12:12, 27) ของประทานของพระวิญญาณนั้นมีหลายอย่างแต่ถ้าคริสเตียนจะปฏิบัติหน้าที่นั้นให้ถูกต้อง ก็ต้องทำตามที่พระคัมภีร์สอนไว้ (1 คร. 12:4-11)
ถ้าคริสตจักรจะดำเนินกิจการของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ สมาชิกทุกคนก็ต้องพิจารณาดูว่า พระเจ้าประทานอะไรให้เขา แล้วก็อุทิศตัวปรนนิบัติหน้าที่นั้นอย่างเต็มความสามารถ (1 ทธ. 4:14-16; รม. 12:6-8) บรรดาคริสเตียนควรเข้าใจว่า ในคริสตจักรต่างคนต่างมีหน้าที่ไปคนละอย่าง เหมือนอวัยวะของร่างกาย เขาจึงไม่อิจฉากัน ไม่เย่อหยิ่ง ไม่ดูถูกกัน ไม่ถือตัว ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วคริสตจักรก็จะเจริญเติบโตขึ้น โดยที่สมาชิกร่วมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ในการถวายเกียรติแด่พระเจ้า (1 คร. 12:14-30)
คริสตจักรเป็นภาพอีกอย่างหนึ่งคือ เป็นพระวิหารที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่ พวกอัครทูต และพวกผู้เผยพระวจนะสมัยเริ่มแรกเปรียบเหมือนกับรากฐาน คริสเตียนทั้งหลายเป็นเหมือนตึก และทุกชิ้นส่วนต่อเชื่อมกันอย่างสนิทในพระเยซูคริสต์ (อฟ. 2:20-22; 1 ปต. 2:4-5)
ในเมื่อคริสตจักรเป็นที่ประทับของพระเจ้า จึงจำเป็นที่พวกคริสเตียนต้องรักษาคริสตจักรให้บริสุทธิ์ (2 คร.6:16) เพราะฉะนั้นคนที่ประพฤติผิดหรือสอนผิดจะต้องได้รับการตักเตือน มิใช่เพื่อประโยชน์ของเขาเท่านั้น แต่เพื่อประโยชน์ของคริสตจักรด้วย เกรงว่าคนอื่น ๆ จะพลอยผิดไปด้วย (1 คร. 5:7; 2 ธส. 3:14-15; 1 ทธ. 1:3-7; 5:19-20; ทต. 1:10-13; 3:10; ฮบ. 12:15)
คริสตจักรต้องจัดการกับผู้กระทำความผิด แต่ก็ควรทำในทำนองว่าจะนำผู้ผิดให้ตระหนักถึงความผิดของตน ไม่ควรจัดการกับผู้ผิดด้วยความรุนแรงโดยปราศจากความรัก เพราะจะทำให้เขายิ่งห่างจากพระเจ้าไปอีก (2 คร.2:5-11; กท. 6:1) น่าเสียใจผู้กระทำผิดบางคนอาจดื้อรั้น ไม่ยอมทิ้งการชั่วของเขา จนในที่สุดคริสตจักรทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องให้เขาออกจากคริสตจักร การลงโทษหนักแบบนี้อาจจะกระทำให้เขากลับใจ และสารภาพความผิดบาป (มธ. 18:15-17; 1 คร. 5:1-5, 11-13; 1 ทธ. 1:19-20)
คริสเตียน CHRISTIAN
ชื่อคริสเตียนนั้น ชาวเมืองอันทิโอก ในแคว้นซีเรียได้เรียกชื่อนี้เป็นครั้งแรก ภาษาที่ใช้พูดในอันทิโอกเป็นภาษากรีก และผู้เชื่อในเมืองนั้นพูดถึงพระเมสสิยาห์ว่าพระคริสต์ (คริสต์เป็นคำในภาษากรีกซึ่งตรงกับคำในภาษาฮีบรู ว่าเมสสิยาห์ ความหมายของคำนี้โปรดดู พระเมสสิยาห์)
สำหรับคนที่ไม่ใช่ยิวและไม่เชื่อพระะเยซู คำว่า คริสต์ (เมสสิยาห์) ไม่มีความหมาย เป็นเพียงแต่ชื่อของคนเท่านั้น และผู้ที่ติดตามเป็นศิษย์ของผู้นั้น พวกเขาเรียกกันว่าพวกคริสต์ หรือคริสเตียน บางทีเรียกชื่อนี้ในทำนองเยาะเย้ย ล้อเลียน (กจ. 26:28) แต่ก็เป็นชื่อที่เหมาะสมมากทีเดียว เพราะแสดงให้เห็นว่า หัวใจของศาสนาคริสเตียนนั้นอยู่ในองค์พระเยซูคริสต์ (ฟป. 1:21) ต่อมาภายใต้การปกครองของจักรพรรดิโรมองค์หลัง พวกที่ได้ชื่อว่าคริสเตียนจะได้รับการข่มเหงอย่างรุนแรง ( 1 ปต. 4:16)
No comments:
Post a Comment