Sunday, April 5, 2020

สรุปหนังสือ พระเยซูพระเมสสิยาห์: สำรวจชีวิตของพระคริสต์


สรุปหนังสือ พระเยซูพระเมสสิยาห์: สำรวจชีวิตของพระคริสต์, โดย โรเบิร์ต เอชสไตน์, ศูนย์ทีรันนัส, 2005

วัยเยาว์ของพระเยซู
จากเครื่องบูชาที่มารีย์ถวายในพิธีชำระตัวและพระศพที่ฝังในอุโมงค์ผู้อื่นระบุว่า      
พระเยซูมาจากครอบครัวยากจน  เป็นเด็กเชื่อฟัง(ลก.2;51 ) ซื่อสัตย์  เที่ยงตรง   ส่วนเรื่องความ
ไร้บาปนั้นมีแต่พระเจ้าเท่านั้นล่วงรู้   ไม่ใช่สิ่งที่ครอบครัวและชุมชนรู้สึกได้     เพราะไม่มีใครสามารถตัดสินหรืออ่านทะลุเจตนารมณ์ในใจพระองค์ได้
              พระกิตติคุณไม่เอ่ยถึงช่วงวัยเยาว์     ก็ชี้ชัดว่า   กระบวนการเติบโตได้พัฒนาขึ้นอย่างปกติเหมือนเด็กชาย ชายหนุ่มและผู้ชายชาวยิวทั่วไป   จึงทรงเข้าใจการทดลองและความอ่อนแอของเราอย่างแท้จริง   หากมีอัศจรรย์ผิดจากเด็กอื่นๆ  โยเซฟกับมารีย์คงไม่แปลกใจเมื่อรู้เห็นถึงพระปัญญาตอน 12 ขวบนั้น และการไม่เชื่อของชุมชนกับน้องๆ ที่เกิดจากมารีย์และโยเซฟ  (นี่เป็นการตีความอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด)     ยืนยันว่าพระองค์เป็นช่างไม้ธรรมดาๆ คนหนึ่งของหมู่บ้าน  เมื่อโยเซฟเสียชีวิตก็ขึ้นเป็นผู้นำ  รับผิดชอบจนถึงช่วงทำราชกิจ  ทั้งไม่มีสักจุดเดียวบ่งบอกว่าสมรส   และไม่เคยมีใครวิจารณ์รูปลักษณ์หน้าตา  แต่จดจ่อว่าพระองค์เป็นใครและทำอะไร   ในฐานบุตรหัวปีย่อมได้รับการศึกษาอย่างเป็นทางการมากที่สุด    ทรงอ่านออก   เขียนได้   และพูดได้อย่างน้อย  3 ภาษาคืออาราเมคภาษาบ้านเกิด      ฮีบรูเมื่ออ่านอิสยาห์ในธรรมศาลา(ลก:4:16-20)      กรีกภาษาหลักในปาเลสไตน์เวลานั้น  ทำให้ไม่ต้องมีล่ามแปล    และคงคุ้นกำบศัพท์ลาติน บางคำเพราะอิทธิพลของโรม  การถกพระคำภีร์และการตอบคำถามเชิงตีความบ่งบอกว่าพระองค์เป็นนักการศึกษาเต็มตัว

พระเยซูรับบัพติศมา

                      แม้ได้สิทธิ์ประโยชน์ตามข้อตกลงกับราชวงศ์แมคคาบีส์  แต่ประชากรยิวราว 3-8 ล้าน หรือ 7% ของอาณาจักรโรมันอยู่ในภาวะไม่พอใจเป็นส่วนใหญ่       ด้านจิตวิญญาณก็ขาดผู้เผยพระวจนะและไม่มีพระวิญญาณตลอดสี่ศวรรษมาแล้ว     ดังนั้นจึงตื่นเต้นตรึงใจเพียงใดที่ยอห์นปรากฏกายขึ้นในชุดแปลกๆ  เทศนาอย่างมีพลังและให้รับบัพติศมา     เพื่อตัดขาดจากอดีตและกลับใจใหม่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่เตรียมพร้อมไว้สำหรับอาณาจักรของเมสสิยาห์     เพราะเชื้อชาติไม่อาจทำให้เข้าแผ่นดินพระเจ้าได้  พิธีนี้เริ่มขึ้นเมื่อไหร่ไม่รู้ชัด  แต่เวลานั้นชุมชนยิวมีการให้บัพติศมาแก่คนต่างชาติที่กลับใจใหม่หันมาเข้าศาสนายูดาอยู่แล้ว    และห่างไปไม่ถึงสิบไมล์มีชุมชนคมราน (น่าจะถือลัทธิเอสซีน)   ที่มาจากเชื้อสายปุโรหิตเหมือนยอห์นก็กำลังทำคล้ายๆกันแต่ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว    ข่าวสารของยอห์นไม่ได้จบในตัวเอง     แต่เป็นเสียงประกาศถึงผู้จะเสด็จมาพร้อมกับความห่วงใยพิเศษดังครั้งที่เคยได้รับในถิ่นทุรกันดาร
การรับใช้ของยอห์นกับพระเยซูเป็นอิสระจากกันและเคารพกันและกัน     พระเยซูยอมรับ
ว่าการรับใช้และการบัพติศมาของยอห์นได้รับการสถาปนาจากพระเจ้าและทรงยอมรับบัพติศมาจากยอห์นไม่ใช่เพราะรู้สึกสำนึกผิดที่อาจทำบาปโดยไม่รู้ตัว  แต่ทรงทำตามวิถีทางที่พระเจ้าเปิดเผยแก่พระองค์  ซึ่งรวมถึงการมีส่วนร่วมในชุมชนรอคอยพระเมสสิยาห์ที่ยอห์นก่อตั้งขึ้นด้วย   นอกจากนี้เล็งถึงการอุทิศตัวยอมดำเนินในวิถีนำสู่ความขัดแย้งและการข่มเหงจนตายบนกางเขน   แล้วพระเจ้าตอบรับโดยการเสด็จมาของพระวิญญาณ  ซึ่งเจิมตั้งสู่ชีวิตใหม่     เพื่อเริ่มพันธกิจในฐานะผู้เผยพระวจนะ  ปุโรหิต   และจอมกษัตริย์และสามารถประทานพระวิญญาณแก่ผู้ติดตามพระองค์ได้      และฟ้าแหวก ซึ่งเป็นคำเดียวกับม่านในพระวิหารขาด (แหวก) ออก  ก็เล็งถึงว่า  บัดนี้พวกเขาสามารถติดต่อสื่อสารกับพระเจ้าได้โดยตรงแล้ว     ส่วนเสียงจากสวรรค์ก็เป็นการยืนยันว่าพระเยซูเป็นผู้ใด
และช่วงแห่งความเงียบของพระองค์ก็เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า

พระเยซูเผชิญการทดลอง

               หลังจากรับบัพติศมา  พระเยซูถูกทดสอบทันที   ซึ่งจำต้องเกิดขึ้นตั้งแต่แรกเริ่มราชกิจ โดยถูกนำไปใจกลางอาณาจักรซาตาน (ถ้ามองแง่ลบก็เป็นที่ซึ่งการทรงสร้างถูกแช่งสาป   ถ้ามองแง่บวกก็เป็นสถานที่ซึ่งพระเจ้าทรงฟื้นการทรงสร้างขึ้นใหม่โดยการมาของพระเมสสิยาห์)    ทรงจู่โจมกฏของมารในเชิงรุก  และวางพระทัยพระบิดาในการจัดเตรียมความต้องการขั้นพื้นฐาน แท้จริงการกินเพื่อสยบความหิวไม่ผิด   แต่ถ้าการอิ่มท้องนั้นขัดแย้งกับสิ่งที่พระเจ้าสถาปนาไว้ย่อมเป็นบาป    พระเยซูไม่แทรกแซงอธิปไตยหรือการปกครองสูงสุดของพระบิดาเหนือชีวิตพระองค์    ฉากสองที่ยอดหลังคาพระวิหารเป็นการทดลองให้ทำอัศจรรย์ต่อหน้าประชาชน  แต่พระเยซูทรงล่วงรู้ถึงเส้นบางๆ ระหว่างการวางใจกับการท้าทายพระเจ้า  ทั้งเชื่อในการดูแลด้วยความรักของพระบิดาอยู่แล้ว  ดังนั้น ก้าวกระโดดของความเชื่อจึงอาจไม่ใช่กิจสำแดงความเชื่อเสมอไป    แต่กลับเป็นความไม่เชื่อหรือทดสอบพระสัญญาของพระเจ้าได้  ฉากสามบนภูเขานั้น  ทรงปฏิเสธหนทางสะดวกง่ายดาย    แล้วยอมรับประตูคับและทางแคบ      เพราะการปฎิเสธพระเจ้าบนเส้นทางการรับใช้นั้นก็เป็นความว่างเปล่า
ลักษณะการทดลองใจนี้  แม้เขียนในเชิงสัญลักษณ์   แต่เกิดขึ้นจริง  แม้ไม่มีใครอยู่ด้วยนอก จากซาตานกับพระเยซู    แต่พระองค์คงเล่าให้สาวกฟังระหว่างเผชิญการทดลองอีกหลายครั้งว่า     พระองค์จะทรงเลือกเป็นพระเมสสิยาห์แบบใด

ทรงเรียกสาวก

               พันธสัญญาเดิมจบที่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาซึ่งเป็นผู้เผยพระวจนะคนสุดท้าย  จากนั้นพระเยซูทรงสถาปนาพันธสัญญาใหม่ขึ้น    ยอห์นกับพระเยซูจึงเป็นคนต่างยุคกัน       คือยุคแห่งการเผยพระวจนะกับยุคที่คำเผยพระวจนะสำเร็จ  อาณาจักรใหม่นี้เริ่มจาก  พระเยซูละบ้านเกิดในนาซาเร็ธไปใช้เมืองคาร์เปอร์นาอุม   ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญบนถนนหลวงและเส้นทางการค้าเชื่อมต่อระหว่างตะวันออกและตะวันตก  เป็นฐานการรับใช้ในกาลิลี  และหนึ่งในสิ่งแรกๆ ที่สำคัญและมีผลยั่งยืนรองจากการสิ้นและคืนพระชนม์   ก็คือการเลือกสาวก 12  คน   ซึ่งเป็นตัวเลขเชิงสัญลักษณ์เล็งถึงการรวมตัวของเผ่าอิสราเอล  บ่งชี้ว่ายุคสุดท้ายมถึงแล้ว   และทั้งหมดเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีตัวตนจริง    ได้แก่   ซีโมน(เปโตร)   แอนดรูว์   ยากอบบุตรเศเบดี   ยอห์น   ฟีลิป    บาร์โธโลมิว  มัทธิว  โธมัส  ยากอบบุตรของอัลเฟอัส  ซีโมนพรรคชาตินิยม  ยูดาสบุตรยากอบ  ยูดาสอิสคาริโอท


ข่าวสารของพระเยซู : แผ่นดินของพระเจ้า

                  ศูนย์กลางเนื้อหาคำสอนของพระเยซูคือ  การมาของแผ่นดินพระเจ้า  ซึ่งวลีนี้มีปรากฏในพระกิติคุณ 87 ครั้ง   และตามทัศนะพันธสัญญาเดิมและใหม่ก็หมายถึง  การปกครองของพระเจ้าในมิติปัจจุบันและอนาคต  ถ้ามีความสมดุลในสองมิตินี้ข่าวประเสริฐจะออกมาแง่บวกและเชิงรุก
                 มิติปัจจุบัน:   คำตรัสพิเศษของพระเยซูที่ว่า     การมาของพระองค์เองเป็นเหตุให้แผ่นดินพระเจ้ามาถึง  ไม่ใช่มาใกล้  แต่อยู่ ณ ที่นี่บัดนี้เลย  เป็นวันใหม่หรือผ่านเข้าสู่ยุคใหม่         สถาปนาพันธสัญญาใหม่  ทำให้พระสัญญาใหม่สำเร็จ   วันเวลาของยุคเก่าถึงกาลอวสานแล้ว  พันธสัญญาที่เคยทำไว้กับอับราฮัม  อิสอัค  และยาโคบกลายเป็นสิ่งเก่าไปแล้ว       พระบัญญัติและคำเผยพระวจนะบรรลุผล   พระสัญญาหรือความเชื่อในพันธสัญญาเดิมสำเร็จ
                หมายสำคัญซึ่งเป็นหลักฐานบ่งบอกอีกอย่างเป็นการรับใช้ที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของพระเยซู (การอัศจรรย์  การรักษาโรค  และการขับผี  เล็งถึงความพ่ายแพ้ของซาตาน)     พระวิญญาณที่กำลังทำกิจของพระองค์อยู่             และหลังจากคืนพระชนม์แล้วพระเยซูบัพติศมาให้สาวกนับแต่วันเพ็นเทคอสเป็นต้นมา
มิติอนาคต :     ที่สำคัญที่สุดได้แก่  การฟื้นขึ้นจากความตาย  และการพิพากษาครั้งสุดท้าย  แกะจะถูกแยกจากแพะ  พระพรมีแก่ผู้ชอบธรรม  แต่การสาปแช่งจะตกอยู่กับคนชั่ว ประวัติศาสตร์มาถึงอวสาน  กาลเวลากลายเป็นนิรันดร์กาล  และอาณาจักรพระเจ้าปรากฏขึ้นในที่สุด
               แผ่นดินพระเจ้าไม่เกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้ง  สถานที่  เขตแดน หรือเขตปกครอง    พระเยซูจึงไม่ใช่นักปฏิวัติทางการเมืองที่มาเติมเต็มความหวังในการสร้างประเทศชาติหรือกองทัพของชาวยิวขึ้นใหม่      แล้วก็ไม่ใช่นักปฏิรูปศาสนาที่พยายามฟื้นฟูความบริสุทธิ์หรือมุ่งเน้นชำระการนมัสการของอิสราเอล
              สิ่งที่มาพร้อมกับแผ่นดินพระเจ้า  ประการแรกเป็นความสัมพันธ์อันสนิทแนบแน่นกับพระบิดาหรือ อับบาซึ่งพระเยซูชอบใช้คำนี้เรียกพระเจ้า  ทั้งสอนสาวกให้เรียกตามด้วย    ซึ่งแตกต่างไปจากธรรมเนียมสมัยนั้น     ประการที่สองคือ  ฤทธิ์อำนาจใหม่ที่ช่วยสาวกให้ดำเนินชีวิตตามหลักจริยธรรมของแผ่นดินพระเจ้าด้วยหัวใจใหม่และพลานุภาพใหม่


ความเป็นบุคคลของพระเยซู:  ผู้นี้เป็นใคร จนชั้นลมและทะเลก็เชื่อฟัง

พระเยซูทรงเปิดเผยทีละขั้นๆว่า พระองค์เป็นใคร(ซึ่งหลายฝ่ายถูกกระตุ้นให้นึกสงสัยอยู่ในใจ) ผ่านทางพระราชกิจที่ทำ ถ้อยคำที่ตรัส และพระฉายาที่ใช้หรือยอมรับ
ด้านระราชกิจ พระองค์ได้ประกาศเจาะจงถึงสิทธิอำนาจเสมอพระเจ้า ทั้งที่จริงแล้วเป็นการกระทำในเชิงรับต่อพระเจ้า ในด้านการอัศจรรย์ที่พระองค์ทำก็พิเศษเฉพาะตัว และบ่งชี้ถึงความเป็นพระคริสต์
ถ้อยคำที่ตรัส พระองค์ได้ประกาศถึงความจริงแน่นอนที่มาจากความเป็นตัวพระองค์ กล้ายกเลิกแม้กระทั่งทัศนะต่างๆของกฎบัญญัติ แถมเปรียบตัวเองว่าเหนือกว่า ผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตเช่นซาโลมอน หรืออับราฮัม คำสอนก็เปิดเผยถึงพระปัญญาตามรูปแบบปัญญาจารย์ในอดีต ได้แก่ สุภาษิต คำคม บทกวี เรื่องอุปมา โดยเฉพาะคำตรัสเกี่ยวกับชะตากรรมมนุษย์ที่ชี้ชัดเจนว่า จะไปสวรรค์หรือนรก รับพระพรหรือการสาปแช่ง ก็ขึ้นกับการยอมรับหรือปฏิเสธพระองค์ เมื่อเผชิญกับความเป็นบุคคลของพระเยซูก็เท่ากับเผชิญความรอดหรือการพิพากษา แต่การปฏิเสธ เท่ากับปฏิเสธปัญญาที่สำแดงเป็นชีวิตพระเยซู ซึ่งจะถูกลงโทษอย่างน่าสยดสยอง ดังนั้นความภักดีต่อพระองค์จึงเป็นเรื่องจริงจังชนิดประนีประนอมไม่ได้
พระฉายานามที่ทรงใช้หรือยอมรับ บุตรดาวิด: พระองค์มาทำให้ราชวงศ์ดาวิดสำเร็จสมบูรณ์ แต่ฉายานี้มีความหมายแฝงไปในด้านการเมือง ดังนั้นเพื่อกันความเข้าใจผิดถึงบทบาทและพันธกิจ พระองค์จึงหลีกเลี่ยงที่จะใช้ ผู้เผยพระวจนะนั้น: พระองค์มาทำให้คำพยากรณ์ก่อนหน้านี้สำเร็จ พระเยซูมาประกาศและนำแผ่นดินพระเจ้าเข้ามาในโลก บุตรพระเจ้า: เล็งถึงพระเมสสิยาห์ในความสัมพันธ์กับพระเจ้าซึ่งต่างจากมนุษย์คนอื่นๆ พระคริสต์: ทรงเป็นผู้รับการเจิมในการรับใช้และผู้ที่ชาวยิวรอคอย ฉายานี้กลายมาเป็นพระนาม คือ พระเยซูคริสต์ บุตรมนุษย์: เป็นฉายานามสำคัญที่สุดที่พระองค์ชอบใช้เรียกตัวเอง และแสดงถึงตัวตนและพระราชกิจของพระองค์มากที่สุด แม้คำนี้จะมีความหมายคลุมเครืออยู่บ้าง คำนี้มีปรากฎ 69 ครั้งในกิตติคุณสัมพันธ์ และ 13 ครั้งในกิตติคุณยอห์น
สำหรับพระเยซูนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือความสัมพันธ์กับพระเจ้า พระองค์บอกว่า ผู้พิพากษาอธรรมคือผู้ที่ไม่ยำเกรงพระเจ้าและไม่ให้เกียรติมนุษย์ พระบัญชาในแนวตั้งและแนวนอนต้องดำเนินควบคู่กันไป ขณะที่คนอิสราเอลโหยหาพระเมสสิยาห์ให้มาฟื้นมรดกทางการเมืองและปลดแอกจากศัตรู พระเยซูกกลับเห็นว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆคือ เครื่องบูชาที่ถวายครั้งเดียวเป็นพอ ซึ่งจะเติมเต็มความต้องและแก้ปัญหาที่ลึกและสำคัญกว่าในความสัมพันธ์ที่คนอิสราเอลมีต่อพระเจ้า และตอบสนองความต้องการใหญ่หลวงของมนุษยชาติด้วย นั่นคือ การอภัยบาป ดังนั้นพันธกิจและการรับใช้ของพระเมสสิยาห์จึงเป็นการสถาปนาพันธสัญญาใหม่คู่กับสายสัมพันธ์ใหม่ ซึ่งได้แก่การเรียกพระเจ้าว่าพระบิดา และประทานพระวิญญาณบริสุทธ์มาเป็นพระผู้ช่วย

 เหตุการณ์ที่ซีซารียาฟีลิปปี: จุดหักเหของเหตุการณ์

 เจ้าผู้ครองนิยมสร้างเมืองอุทิศให้ซีซาร์ แล้วตั้งชื่อว่าซีซารียา ดังนั้นจึงมีเมืองซีซารียาอยู่มากมาย เช่น ซีซารียาฟีลิปปีบนเนินเขาเฮอร์โมนติดชายฝั่งทะเล เจ้าผู้ครองนามว่าฟีลิปอุทิศให้ซีซาร์ ประวัติศาสตร์จารึกว่า เมืองนี้เป็นที่แรกที่พระเยซูเริ่มเปิดเผยถึงการสิ้นพระชนม์ว่าเป็นสิ่งจำเป็นและหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อเตรียมสาวกให้พร้อมที่จะรับมือ และทำให้พวกเขาเข้าใจความเป็นพระเมสสิยาห์ของพระองค์ แม้เปโตรยอมรับสถานภาพของพระเยซู แต่เขายังไม่เข้าใจถึงพระปัญญาของพระเจ้า เพื่อไม่ให้ทัศนะผิดๆนี้ขยายตัว จึงทรงให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ การทนทุกข์ที่พวกสาวกได้ฟังขณะยังไม่ได้ตั้งตัวนี้ก็สวนทางกับความคาดหวังที่ฝังใจอยู่ ซึ่งสร้างความสับสนให้มากทีเดียว แม้พวกเขาอยู่ในวัฒนธรรมที่เชื่อว่า การตายของผู้ชอบธรรมนำมาซึ่งการไถ่บาปของประชาชาติ   เหตุการณ์นี้จึงเป็นจุดหักเหสำคัญในการรับใช้ของพระองค์

จำแลงพระกาย: แวบหนึ่งของอนาคต

ราว 6-8 วันหลังการยอมรับของเปโตรที่ซีซารียาฟีลิปปีบนเนินเฮอร์โมน พระเยซูทรงจำแลงพระกาย ซึ่งเชื่อว่าเกิดขึ้นบนภูเขาเฮอร์โมน ต่อหน้าเปโตร ยากอบ และยอห์น พระเยซูทรงเปลี่ยนแปลงอย่างอัศจรรย์ เสื้อขาวระยับ ใบหน้าทอแสงจ้าจากภายในสู่ภายนอก คือ พระสิริสำแดงออกมาแวบหนึ่ง และการมาของโมเสสก็เล็งถึงความสำเร็จของพระบัญญัติและคำเผยพระวจนะ ส่วนพระสุรเสียงจากสวรรค์ช่วงแรกก็เป็นคำทักท้วงข้อเสนอให้สร้างพลับพลาสามหลัง เพราะนั่นเป็นการทำสิ่งชั่วคราวให้มาเป็นของถาวร และผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองนี้ ก็เทียบไม่ได้กับพระบุตรองค์เดียว ส่วนการจำแลงพระกาย และพระสุรเสียงช่วงหลังที่สั่งให้เชื่อฟังนั้นก็เป็นการผนึกตราความสัมพันธ์ต่อเนื่องกับเหตุการณ์ที่ซีซารียาฟีลิบปี คือตอกย้ำว่า การปฎิเสธการทนทุกข์ของพระเมสสิยาห์ก็มาจากมาร พวกสาวกควรเชื่อฟังแทนที่จะยัดเยียดทัศนะหรือแข็งขืนพันธกิจของพระเยซูให้เป็นไปตามความคิดของตน บทบาทนี้ได้นำพระเยซูมุ่งหน้าสู่เยรูซาเล็มไปยังไม้กางเขน และทรงเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องอธิบายละเอียดถึงการวายพระชนม์ว่าส่งผลต่อการอภัยบาปและเป็นตราพันธสัญญาใหม่อย่างไร แต่ปล่อยให้เป็นหน้าที่สาวกหาคำอธิบายเชิงศาสนศาสตร์ถึงเรื่องนี้ นั่นคือ การสอนที่กาลิลีได้จบลงแล้ว คงเหลือแต่การสอนระหว่างทางไปเยรูซาเล็มและที่เยรูซาเล็ม การรับใช้ของพระเยซูได้ผ่านจุดหักเหสำคัญในช่วงเวลานี้เอง

เสด็จสู่เยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต: กษัตริย์อิสราเอลมุ่งสู่เมืองหลวง

พระเยซูเดินทางด้วยสง่าราศีสู่ความตาย พระองค์ไม่ได้เข้าเยรูซาเล็มเพื่อครองบัลลังก์ แต่เพื่อทำพันธกิจพระบิดาให้สำเร็จ นี่เป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญและเกิดขึ้นจริง ซึ่งพระกิตติคุณทั้งสี่เล่มบันทึกไว้ว่า ทรงกระทำเชิงสัญลักษณ์อย่างจงใจ เพื่อชี้ว่าพระองค์คือพระคริสต์ หรือกษัตริย์ที่อิสราเอลตั้งตาคอยเนิ่นนาน และเชิงอุปมาที่บางคนเข้าใจได้ แต่ปิดไว้จากบางคน การเสด็จเข้านครศักดิ์สิทธิ์เยี่ยงพระเมสสิยาห์เป็นความลับอย่างเดียวกับที่ทรงสอนถึง แผ่นดินของพระเจ้า โดยใช้คำอุปมาและใช้นามบุตรมนุษย์ ด้วยเจตจำนงค์ให้คำพยากรณ์ในเศคาริยาห์ 9:9 สำเร็จ พระองค์ไม่เดินเข้าไปหรือไม่ขี่ม้าศึก แต่ขี่ลูกลา เครื่องหมายของความสุภาพอ่อนโยน พระองค์หยั่งรู้ล่วงหน้าอย่างอัศจรรย์ว่ามันถูกผูกอยู่ที่หมู่บ้านใกล้ๆและไม่เคยมีใครขี่มันมาก่อน จึงเหมาะที่จะเป็นพาหนะในงานศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนี้ สาวกปูเสื้อคลุมเป็นอานในฐานะพระเมสสิยาห์ตามบรรยากาศที่ถูกเร้าให้เป็นไป แม้ทางตาลหรืออินทผลัมที่โบกสะบัดให้ขณะลงมาจากภูเขามะกอกเทศมุ่งสู่เยรูซาเล็มบ่งบอกถึงความเป็นกษัตริย์หรือพระเมสสิยาห์ เนื่องจากใบพืชพื้นบ้านที่มีอยู่ทั่วไปชนิดนี้เป็นสัญลักษณ์ถึงความเป็นชาตินิยมอิสราเอล แต่จริงๆไม่ได้มาจากความเข้าใจถ่องแท้ว่าพระเยซูเป็นผู้ใด (เหมือนคำยอมรับของเปโตร) พวกเขาโห่ร้องในฐานะ เยซูผู้เผยพระวจนะจากนาซาเร็ธที่ทำให้ลาซาลัสฟื้นจากความตายไม่นานมานี้ เป็นเรื่องประจวบเหมาะหรือความกระตือรือร้นที่ไม่ได่มาจากความเข้าใจอย่างแท้จริงว่าเกิดอะไรขึ้น คำโห่ร้องจากสดุดี 118 นั้นใช้ร้องต้อนรับนักแสวงบุญช่วงเทศกาลสำคัญๆ เช่น เทศกาลอยู่เพิง และเทศกาลปัสกา โฮซันนาเป็นคำอธิษฐานขอความช่วยเหลือ แปลตามตัวอักษรได้ว่า “(โปรด)ช่วยเราให้รอดส่วนการวางเสื้อคลุมและกิ่งไม้ลงบนถนนขณะลูกลาผ่านก็แสดงถึงการต้อนรับที่พิเศษกว่านักแสวงบุญธรรมดา สำหรับพวกเขาจึงเป็นแค่การกระทำตามธรรมชาติและตามธรรมเนียม แต่ก็แน่ใจได้ว่าทั้งหมดนี้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า เพราะหากต้อนรับในฐานะพระเมสสิยาห์หรือกษัตริย์อิสราเอลซึ่งซีซาร์ไม่มีที่ว่างห้ ย่อมนำมาซึ่งการเผชิญหน้ากับโรมในทันที ยอห์นบอกว่าแม้สาวกเองก็ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด และแค่ภายในเวลาสั้นๆนั้น เสียงโห่ร้องต้อนรับกลับเป็นเสียงตะโกนกู่ก้องให้ตรึงเสียงที่กางเขน แท้ที่จริงถ้าฝูงชนนิ่งเงียบหรือไม่ตอบสนองขนาดนี้ศิลาทั้งหลายก็ยังจะส่งเสียงร้อง (ลูกา 19:40)

ชำระพระวิหาร: พระนิเวศหรือถ้ำโจร

 ตามมัทธิวและลูกา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นถัดจากการเข้าเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิตทันที แต่มาระโกระบุว่าเป็นวันรุ่งขึ้น ส่วนยอห์นใส่ไว้ช่วงต้นๆ คงเป็นเชิงการเขียน   ที่อยากชี้ชัดแต่แรกเลยว่าความเป็นศัตรูกับผู้นำศาสนาจนต้องไปกางเขนนี้เลี่ยงไม่ได้ เราต้องระลึกว่าพระกิตติคุณไม่ได้บันทึกไว้ตามลำดับเหตุการณ์เสมอไป เช่น มาระโกจัดเรียงตามภูมิศาสตร์โดยเอาพันธกิจในกาลิลีมาก่อนเยรูซาเล็ม พระวิหารสมัยพระเยซูงดงามตระการตาเทียบได้กับ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกโบราณ หุ้มด้วยทองคำเป็นส่วนใหญ่นอกนั้นเป็นศิลาขาวอร่าม ยามต้องแสงอาทิตย์จึงตระหง่าน เจิดจรัสยิ่ง เขตพระวิหารเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู บริเวณโดยรอบก็นับได้ว่าใหญ่ที่สุดในโลกโบราณ ใช้ศิลาจำนวนมาก บางก้อนที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ ยาว 40 ฟุต หนัก 100 ตัน แต่โจเซฟัสก็พูดถึงศิลาที่ใหญ่กว่านี้อีก ช่วงที่เฮโรดสร้างใช้คนงานหมื่นคน เกวียนหนึ่งพันเล่ม และปุโรหิตที่รับการฝึกด้านเทคนิคหลากหลายเป็นพิเศษหนึ่งพันคน เมื่อพระเยซูเดินผ่านประตูทองที่ตั้งประจันหน้าภูเขามะกอกเทศเข้าสู่พระวิหาร ขณะผ่านลานคนต่างชาติทรงพบโต๊ะรับแลกเงิน ทุกปีราวช่วงปัสกา ชายชาวยิวที่เป็นผู้ใหญ่ทุกคนต้องจ่ายภาษีพระวิหารครึ่งเชเขล แต่เงินสมัยนั้นจารึกภาพและคำของรูปเคารพ ที่ยอมรับได้ก็มีแต่เหรียญเงินดิแดรคครึ่งเชเขลของไทระ (didrachma of tyre) ฉะนั้นเพื่ออำนวยความสะดวกจึงตั้งโต๊ะแลกเงินที่ลานนี้ นอกจากนั้นยังอำนวยความสะดวกโดยตั้งโต๊ะแลกเงินตราตามแว่นแคว้นต่างๆรอบเยรูซาเล็มในวันที่ 15 ก่อนเทศกาลปัสกาและในวันที่ 25 จะตั้งโต๊ะแลกเงินที่ลานนี้ โดยคิดค่าธรรมเนียม 4-8% นอกจากนั้นยังพบการขายสัตว์ที่นำไปเป็นเครื่องบูชาด้วย เพราะการหาสัตว์ที่มีคุณภาพถูกต้องเหมาะสมนั้นมีกระบวนยุ่งยาก ถ้าเป็นมลทิน ไม่ผ่านการตรวจสอบ เจ้าของสัตว์จะทำอย่างไร ในแง่หนึ่งจึงเป็นการบริการที่ดี แต่อีกมุมหนึ่งทำให้วิหารกลายเป็นตลาด ทั้งเสียงร้อง กลิ่นและมูลสัตว์ หรืออื่นๆ กลับหันเหความสนใจของประชาชนไปจากพระประสงค์ที่พระเจ้าวางไว้ให้เป็นนิเวศอธิษฐาน แถมพบหลักฐานด้วยว่ากิจกรรมรูปการค้าเหล่านี้ ทำกำไรงามให้กับปุโรหิต สำหรับผู้ซื้อก็นับว่าในความอับยศนี้ด้วย พระเยซูผู้อ่อนโยนทรงขัดขวางธุรกรรมนี้ด้วยการคว่ำโต๊ะและขับไล่อย่างมั่นใจและเต็มด้วยสิทธิอำนาจที่มาจากความสัมพันธ์กับพระเจ้าแห่งพระวิหารนี้ ไม่มีผู้ใดทัดทานการกระทำเชิงพยากรณ์หรือเชิงอุปมาของพระองค์ เมื่อมองเชิงสัญลักษณ์ก็จะช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้น คือ สื่อว่าการพิพากษากำลังจะเกิดขึ้นกับพระวิหารและชนชาติอิสราเอลโดยพระเยซูเองเป็นเหตุนำการทำลายมา

อาหารมื้อสุดท้าย : พระเยซูทรงมองไปยังอนาคต

พระเยซูผู้เป็นเจ้าภาพได้เตรียมการไว้  ล่วงหน้าและให้มื้อสุดท้ายนี้อยู่ตามลำพังกับสาวก
ระหว่างนี้กิตติคุณทั้งสี่ฉบับพูดถึงคำทำนายเรื่องการทรยศของสาวก  ซึ่งมิใช่แค่ชี้ถึงความพิเศษเฉพาะตัวในแง่เป็นพระคริสต์  แต่ยังให้ภาพถึงความเป็นผู้เผยพระวจนะที่ล่วงรู้อนาคตและสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น   สะท้อนชัดว่า กางเขนเป็นมูลเหตุให้พระองค์มา  กางเขนไม่ใช่ความผิดพลาดที่น่าเศร้า และไม่ใช่การออกนอกพระประสงค์ของพระเจ้า  ตรงข้ามการทรยศที่นำสู่กางเขนเป็นส่วนหนึ่งในแผนงานการปกครองสูงสุดด้วย   จากนั้นทรงใช้บริบทช่วงสุดท้ายของการฉลองปัสกาสถาปนาพิธีในพันธสัญญาใหม่  คำตรัสทั้งหมดเป็นเชิงภาพเปรียบเทียบ  ในตอนนั้นสาวกยังไม่เข้าใจทั้งหมด   แต่ภายหลังคริสตจักรเข้าใจกระจ่างขึ้นถึงพระเยซูผู้มาจากพระบิดา  และตระหนักว่าขนมปังเล็งถึงพระวาทะผู้บังเกิดเป็นมนุษย์และแบกรับบาปไว้ที่กายของพระองค์  สำหรับขนมปังในมื้อสุดท้ายของพระเยซูบ่งชี้ถึงการมารับสภาพเป็นมนุษย์ของพระบุตรและจ่ายตนเองเพื่อไถ่โลก ปัสกาเป็นพิธีเชิงสัญลักษย์เล็งถึงพันธสัญญาเดิมฉันใด พิธีมหาสนิทก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน ปัสกาตั้งขึ้นเพื่อระลึกถึงการอพยพฉันใด มหาสนิทก็ระลึกถึงการวายพระชนม์ของพระคริสต์ผู้เป็นปัสกาของเรา และระลึกถึงการเสด็จกลับมาในอนาคตของพระองค์ฉันนั้น พระเยซูตั้งพิธีนี้เพื่อให้สาวกระลึกถึงอย่างต่อเนื่อง
ในอาหารมื้อสุดท้าย พระเยซูเปิดเผยอีกว่าการวายพระชนม์เกี่ยวข้องกับการหลั่งเลือดเพื่อสาวก คนยิวคุ้นเคยกับข้อห้ามดื่มเลือดในพันธสัญญาเดิม ถ้าพระเยซูหมายถึงดื่มเลือดจริงๆ คงมีการคัดค้านหัวชนฝา  พระองค์กำลังมองไปยังอนาคต ในอีกไม่กี่ชั่วโมงนี้ที่กำลังจะสละชีวิตเพื่อผนึกตราพันธสัญญาใหม่ ขนมปังและเหล้าองุ่นเป็นสัญลักษณ์ป่าวประกาศอย่างต่อเนื่องถึงสิ่งสำคัญนิรันดร์ คือพระกายและพระโลหิต จากวันนี้ จนถึงอวสานของประวัติศาสตร์กางเขนที่น่าสยดสยองกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อและชัยชนะ

เกทเสมนี การทรยศ และการจับกุม : น้ำพระทัย ความชั่วร้ายที่ครอบงำมนุษย์

            เมื่อตั้งพิธีระลึกเสร็จ  ก็พากันลงไปยังสวนเกทเสมนี บนลาดเขาในเยรูซาเล็มส่วนที่ขยายออกไป ทรงซบหน้าลงเทใจอธิษฐานด้วยความทุกข์ทรมานที่กำลังจะเผชิญการแยกจากพระบิดา
ยูดาสจัดโอกาสให้ผู้นำยิวมาจับในที่ลับตาโดยประชาชนไม่ล่วงรู้ ซึ่งช่วยป้องกันการจลาจลไปในตัว ฝ่ายพระเยซูตอบสนองจุบยูดาสด้วยความเวทนาและเสียพระทัย จากนั้นทรงหันไปเผชิญหน้าศัตรูที่ไม่เฉลียวใจว่าตนกำลังอยู่ในแผนของฝ่ายตรงข้าม  โดยไม่สะทกสะท้าน จนเราไม่เห็นความอ่อนแอใดๆจากพระองค์ แต่สาวกทั้งสับสน กลัว และมุ่งหนีเอาตัวรอด เปโตรพยายามทำในสิ่งที่เป็นธรรมชาติของตัวเขา ทว่ากลับถูกตำหนิ  ทำให้เขารู้สึกถูกปฏิเสธ แล้วหนีไปด้วยความว้าวุ่นใจ  แม้ประจักษ์ชัดถึงความสยดสยองของบาป ก็อย่าให้โศกนาฏกรรมตำตา จนบดบังความจริงที่ว่าพระเจ้าทรงควบคุมอยู่ตลอดทุกสถานการณ์  ไม่ว่าการทรยศของยูดาส การผละจากของสาวก การปฎิเสธของเปโตร รวมถึงการสิ้นและคืนพระชนม์ เพราะพระเยซูได้ทำนายไว้ทั้งหมดล่วงหน้าแล้ว
            ความเสื่อมทรามของมนุษย์ร้ายแรงถึงขั้นสมควรรับพระพิโรธ  เกทเสมนีย้ำเตือนเราไม่ให้มองข้ามบาปและผลของมัน และพระเยซูเพียงผู้เดียวสามารถดื่มถ้วยที่นำความรอดมาสู่มนุษย์ชาติได้

การสอบสวน : ปรับโทษผู้ไร้ผิด

พระกิตติคุณบันทึกการสอบสวนไปคนละแง่มุม  แต่ส่วนใหญ่เห็นสอดคล้องกันว่า ผู้นำยิวเป็นตัวการจับกุม และไต่สวน   เริ่มจากอันนาสไต่สวนลวก ๆ  (ไม่เป็นทางการ)  เพียงเพื่อยัดเยียดข้อหาให้ แต่หาไม่พบ จึงส่งตัวให้คายฟัส สภาซานเฮดรินจึงเรียกพวกพยานมาสอบสวนด้วย ทว่าคำปรักปรำไม่ชัดเจนพอจะเอาผิดได้ คายฟัสเลยถามตรง ๆ แต่พระเยซูนิ่งตลอด จนถึงจุดให้สาบานตัวโดยอ้างพระคัมภร์ ซึ่งเป็นระบบให้ผู้ต้องหาปกป้องตนเองของศาลยิว  จึงทรงตอบรับว่า เป็นเมสสิยาห์อย่างหนักแน่นและสงวนท่าที เพื่อไม่ให้ตีความผิด ๆ ได้  คายฟัสก็ฉีกเสื้อประกาศคำพิพากษาทันที   แท้จริงแล้วไม่ชัดว่า คำตรัสไหนที่ทำให้ถึงกับต้องโทษประหารฐานหมิ่นประมาทพระเจ้าอย่างเป็นทางการ (ระหว่างนี้เปโตรก็ปฏิเสธพระเยซูสามครั้งตามที่ทรงทำนายไว้ล่วงหน้า) แต่ทั้งมหาปุโรหิตและสภาซานเฮดรินต่างไม่มีอำนาจประหารได้  จึงบิดเบือนข้อหาทางศาสนามาเป็นข้อหาทางการเมือง แล้วส่งตัวให้ปอนทัส ปีลาต (ช่วงนี้ยูดาสเสียใจแบบนำสู่การฆ่าตัวตาย ไม่ใช่กลับใจใหม่)
                เมื่อไม่พบความผิดใดๆ  ปีลาตจึงหาทางปล่อยตัว แต่ผู้นำยิวกดดันให้ประหารอย่างเดียว    ปีลาตจึงปัดปัญหาไปให้เกีรยติเฮโรด อันทิปัส เป็นผู้ตัดสิน      พระเยซูไม่ให้การอะไรเลย   เฮโรด จึงให้เสื้อคลุมหรูสวมเพื่อเยาะเย้ยคำอ้างว่าป็นกษัตริย์   แล้วส่งกลับไปให้ปีลาตอีก ซึ่งเป็นช่วงปล่อยนักโทษตามธรรมเนีเทศกาลปัสกาเพื่อระลึกถึงอิสรภาพจากการเป็นทาสในอียิปต์พอดี ผู้นำโรมทั้งสองเห็นตรงกันว่า นี่ไม่ใช่โทษถึงตาย ปีลาตประกาศปล่อยตัวพระเยซู แต่ด้วยการยุยงของผู้นำยิว ฝูงชนร้องขอให้ปล่อยบารับบัสแทน ปีลาตฝืนใจยอมตามแม้ไม่เต็มใจส่งคนไร้ผิดที่สุดเท่าที่เคยมีบนโลกใบนี้ไปสู่ความตายสยดสยองที่สุด แต่ในเบื้องลึก เราตระหนักว่า บาปของผู้ตามพระเยซูต่างหากเป็นต้นเหตุแท้จริงให้พระเยซูถูกประหาร

การทนทุกข์ วายพระชนม์  ฝังพระศพ : ถูกเหยียดหยาม ปฏิเสธ
                       
            ฉากไต่สวนเป็นที่วังเฮโรด  พอสิ้นคำพิพากษา  การประหารก้เปิดฉากออก เริ่มจากโบยตี ซึ่งปกติเป็นส่วนหนึ่งของการตรึง แล้วถูกบังคับให้แบกกางเขนไปเนินหัวกระโหลก(แดนประหารก็นอกเมืองเยรูซาเล็ม)  ซึ่งเห็นได้แต่ไกล เพราะจงใจประจานไม่ให้ใครเอาอย่าง  ตอนหมดแรงทหารโรมันเกณฑ์ซีโมนชาวเมืองไซรีน(ปัจจุบันคือเมืองลิเบีย)ช่วยแบก  เขาเลยสร้างตำนานเป็นคนแรกแบกกางเขนตามพระเยซู และเป็นธรรมเนียมที่จะให้เปลือยกายเพิ่มความอับอายและเหยียดหยาม และผู้ประหารจะฉีกเสื้อนักโทษแบ่งกัน แต่ถาเสื่อไม่มีตะเข็บ ก็จะจับฉลากกันแทน และเพราะพระเยซูอยูในธรรมเนียมยิว  ทหารจึงยอมให้สิทธิพิเศษที่จะใส่ผ้าพันสะโพกได้ การตรึงกางเขนเป็นความทารุณที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมาและมีหลายรูปแบบ   พลเมืองโรมไม่ต้องถูกประหารด้วยวิธีนี้  เพราะถือว่าเป็นการทำโทษชนชั้นต่ำ  ส่วนชาวยิวคุ้นเคยดี แม้แต่ผู้นำยิวก็ใช้วิธีนี้ลงโทษ โดยการใช้เสางัดขึ้นไป แล้วกางเขนท่อนขวางถูกสอดเข้าไปในร่องท่อนตั้งและตอกติดแน่น ถ้ามีที่พักเท้าให้ก็ช่วยให้กายผ่อนคลายแต่ถูกยืดความสาหัสนานขึ้น  ถ้าเหยื่อมีชีวิตอยู่ได้หลายวันก็จะถูกแมลงกัด นกกิน สุนัขแทะเนื้อ  เหยื่อกางเขนจะช่วยตัวเองไม่ได้เลย
            เวลาที่ตรึงเชื่อว่าเป็นวันก่อนวันสะบาโต และราวๆเก้าโมงเช้าถึงเที่ยง  ที่ยอห์นบอกว่าเที่ยง เพราะว่าลูกแกะถูกฆ่าตอนเที่ยงวัน เหยื่อสังหารที่อยู่ตรงกลางถือว่าสำคัญ เพราะบารับบัสเป็นกบฏฆ่าคน และตามธรรมเนียมจะนำข้อกล่าวหามาตีแผ่ช่วงประหาร  กรณีของพระเยซูจึงติดไว้เหนือศีรษะด้วยภาษาฮีบรู ลาติน และกรีก ข้อหาที่เสียดสีของเจ้าเมืองโรมันนั้นกลายเป็นพยานทางอ้อมว่า พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์  ส่วนคายาฟัสก็พุดเป็นพยานโดดยไม่รู้ตัวว่า พระเยซูต้องสละชีวิตเพื่อชนชาติอิสราเอล
            ขณะอยู่บนกางเขนพระเยซูพูดเจ็ดข้อความก่อนสิ้นใจ  จากนั้นอาจจะหัวใจวายหรือขาดอากาศหายใจ ถึงกระนั้นพระเยซูก็คือควบคุมเหนือเหตุการณ์นี้   ความผูกพันระหว่างชีวิตกับเจตจำนงค์เป็นเรื่องเร้นลับ เช่นถึงจุดหนึ่งก็สามารถตั้งใจตายได้  การวายพระชนม์นี้มีหมายสำคัญหลายอย่างตามมาจนนายทหารออกปากรับรองว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า  ปกติศพอาชญากมักถูกโยนทิ้ง แต่โยเซฟและนิโคเดมัสช่วยกันฝังพระศพ ชาวยิวไม่ควักอวัยวะภายในและไม่อาบน้ำศพเหมือนอียิปต์ หลังจากชำระ ตัดเล็บ ตัดผม และปิดตา  แล้ว ก็ห่อด้วยเครื่องหอม(มดยอบและกฤษณา)สามสิบกว่ากิโล ใช้ผ้าลินินห่อ แล้วนำไปไว้ที่อุโมงค์ ปากอุโมงค์สูงราวๆ 3 ฟุต หินที่ใช้ปิดปากอุโมงค์คล้ายล้อพิงไว้กับกำแพงอุโมงค์  ทหารโรมันใช้กำลังและสิทธิอำนาจป้องกันอุโมงค์ได้เพียงวันเดียว เพราะวันอีสเตอร์อุโมงค์ต้องเปิดออก  การวายพระชนม์บนกางเขนของพระเยซูชาวนาซาเร็ธ เป็นเหตุการณ์ที่มีหลักฐานและรู้จักกันในประวัติศาสตร์มากที่สุด

คืนพระชนม์: หาคนเป็นในพวกคนตายทำไม

            ขณะที่พวกสาวกทั้งโศกเศร้าและสับสน ว้าวุ่นและหมดหวัง เริ่มต้นเช้าวันอาทิตย์ เหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติอุบัติขึ้น มองตามการนับเวลาของชาวยิว เหตุการณ์ก็เป็นไปดังนี้
วันที่ 1 พฤหัส 18:00 น. ถึงศุกร์ 18:00 น. เป็นช่วงอาหารมื้อสุดท้าย อธิษฐานที
            เกทเสมนี ถูกไต่สวน ถูกตรึง และฝังพระศพ
วันที่ 2 ศุกร์ 18:00 น. ถึงเสาร์ 18:00 น. อุโมงค์ถูกเฝ้าแน่นหนา
วันที่ 3 เสาร์ 18:00 น. ถึงอาทิตย์ 18:00 น. พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์
            เช้าตรู่วันสะบาโต กลุ่มผู้หญิงนำโดยมารีย์ มักดาลา ตั้งใจไปชโลมพระศพที่อุโมงค์ ซึ่งชี้ชัดว่า ไม่มีใครคิดแม้แต่น้อยว่าพระเยซูเป็นขึ้นมาจากตาย ทหารเล่าว่าเกิดแผ่นดินไหวไหญ่และทูตสวรรค์มากลิ้งหินจากปากอุโมงค์ ซึ่งไม่ใช่เพื่อให้พระเยซูออกมา แต่เพื่อให้พวกผู้หญิงเข้าไปและเห็นความว่างเปล่าในอุโมงค์ และแทนที่จะคิดว่าทรงเป็นขึ้นมา พวกเธอกลับเข้าใจว่าพระศพถูกขโมย จนทูตสวรรค์ได้มาบอก และพระเยซูก็ทรงยืนยันกับมารีย์ มักดาลา ด้วยตัวเอง   พวกสาวกมองว่า ข่าวดีนี้เหลวไหล  เพราะเหลือเชื่อเกินไปจนกระทั่งพระเยซูปรากฏกายที่สัมผัสได้ กินอาหารได้ และคุยกับหลายคนได้ในเวลาเดียวกัน นี้เป็นคำพยานใหญ่สุดถึงการคืนพระชนม์จากสภาพมตะสู่อมตะ แม้ความสงสัยของโธมัสถูกตำหนิ แต่ระบุถึงความแข็งขืนและความไม่เชื่อ   เปาโลอ้างถึงหลายคนที่เป็นพยานในเรื่องนี้ได้   ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมาผู้คนทุกเผ่าพันธุ์ก็มีประสบการณ์ส่วนตัวที่ยืนยันได้ว่า  พระองค์ทรงประทับอยู่ในหัวใจในชีวิตทางพระวิญญาณของพระองค์
            พระกิตติคุณไม่มีรายละเอียดถึงสิ่งที่พระเยซูทำในช่วงสี่วันก่อนเสด็จขึ้นสวรรค์สู่พระสิริดังที่เคยมีมาแต่ดั้งเดิมและรับการเทิดทูนขึ้นประทับเบื้องขวาของพระเจ้า เป็นไปได้ว่าพวกสาวกกลับไปบ้านที่กาลิลี แล้วมาเยรูซาเล็มอีกในเทศกาลสัปดาห์(เพ็นเทคอสต์) เพื่อคอยจนได้รับพระวิญญาณตามพระสัญญา ชีวิตของพระเยซู ยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ แต่ยังรอวันจะเสด็จมาร่วมงานเลี้ยงของพระเมสสิยาห์กับเหล่าสาวกของพระองค์ พระเยซูเจ้าเชิญเสด็จมาเถิด

No comments:

Post a Comment