สรุปหนังสือเด็กชายน้ำองุ่นเปรี้ยว
สรุปเนื้อหา
หนังสือเล่มนี้เป็นนิยายเรื่องหนึ่งที่พูดถึงตัวละครตัวหนึ่ง
คือเด็กชายน้ำองุ่นเปรี้ยว เป็นเด็กน้อยที่ถูกพ่อแม่ทิ้งไว้บนหุบเขามีทหารหลายคนของพวกโรมันได้ไปเจอจึ่งนำมาทิ้งไว้ให้กับนิโคลัส
ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะรักกันแบบพ่อลูกจริงๆ
แต่ก็ยากสำหรับเด็กน้อยที่จะเปิดเผยความในใจกับนิโคลัส เขาซ่อนความหวังไว้ในใจเงียบๆ
อยากได้รับการรักษาปานม่วงคล่ำที่แก้มขวาของเขา
เด็กน้อยคนนี้ก็ได้ใฝ่ฝันหวังใจที่จะไปหาเยซู
เพราะเชื่อว่าพระเยซูสามารถรักษาปานของเขาได้ ที่นิโคลัสพูดถึงมีความหมายไปอย่างเดียว
คือการตรึงกางเขนของพระเยซูคนที่ถูกตรึงจะได้รับน้ำองุ่นเปรี้ยวได้ผสมมดยอบเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด
นิโคลัสเลี้ยงดูเขาเหมือนกับลูกใส่
แม้ว่ายังไม่ได้รับเป็นบุตรบุญธรรมตามกฎหมายก็ตาม ไม่ไช่เพราะนิโคลัสไม่ยินจะทำ
หากแต่พระเจ้าตัวยังไม่ยอบ เพราะนิโคลัสเป็นคนดี เมื่อลุงคนนั้นพูดกับชายคนนั้นว่า
เมื่อเจ้าเป็นลูกของลุงแล้ว เจ้าจะไม่ถูกส่งไปแล้ว
เด็กชายรู้ว่านิโคลัสกำลังพูดกับเขา
แต่ใจของมันล่องลอยไปไกลลิบลับ เด็กชายนั้นพูดว่าไม่เป็นไรลุงหนูจะรีบไป แต่หนูคิดว่าถ้าพวกโรมันจะฆ่าศัตรูอีก น่าจะหาวิธีอื่นดีกว่านี้ไม่ใครเลวถึงขนาดต้องถูกตรึงบนกางเขนหรอก
วันหนึ่งในเร็วๆนี้แหละเจ้าหนูจะมีชื่อ
แต่ขณะนี้ยังไม่มีชื่อ แกต้องเรียกอย่างอื่นนอกจาก เรียกว่าเจ้าหนู
และนิโคลัสเลี้ยงเด็กน้อยนั้นไว้ และบอกเขาภายหลังว่า
เพราะความงามของดวงตาสีอำพันและผมสีทองแดงต้องแสงแดดนั้น
ทำให้ตัดใจทิ้งทารกน้อยไม่ลง นิโคลัสใช้ลังเก็บน้ำองุ่นเปรี้ยวเก่าๆเป็นเตียงและปูด้วยผ้าห่มให้เขานอน
ตั้งแต่นั้นมาคนในป้อมพากันเรียกซากน้อยว่า เด็กชายน้ำองุ่นเปรี้ยว
เด็กชายไม่เคยรู้สึกว่าเป็นเรื่องโหดร้ายที่ตนเองเป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง เป็นของขวัญพิเศษมาจากพระเจ้า
และนิโคลัสสอนให้เด็กชายคนนี้ให้เป็นคนดี และ ถึงเขาจะมีชื่อแลใบหน้าที่สวยงามแล้วเขายังต้องแบกรับความอับอายว่าเป็นเด็กที่ถูกทอดทิ้ง
และก็ยังมีชื่อแสนน่าเกลียดว่า ไอ้ลูกไม่มีพ่อ
เยซูนาซาเร็ธเป็นเด็กชายที่เที่ยงตรง ข่าวลือมาก็เปลี่ยนเป็นพายุอย่างกะทันหัน
ข่าวลือต่างๆโถมปะดังข่าวมาในที่ว่าเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง ชาลือเกี่ยวกับเขาเริ่มต้นเหมือนกับฝนที่โปรยปรายลงมาต้นฤดู แพร่สะพัดมาจากกาลิลี สะมาเรีย
ฉับพลันนั้นฝนที่ค่อยๆโปรยปรายเลยผู้นั้นถูกพวกศาสนาในเยรูชาเล็มกล่าวหาและประณามอย่างสาด
เด็กชายต้องทำงานคุ้มค่าอาหารแล้วเขาต้องได้ทำงานในสวนนั้นซึ่งที่จะส่งมาให้ทหารโรมัน
นิโคลัสจึ่งพยายามเตรียมจิตใจเขาให้พร้อมสำหรับธุระพิเศษที่จะไปส่งน้ำองุ่นเปรี้ยวเป็นครั้งแรก เขาพยายามอธิบายถึงความดีและความชั่วนั้นอย่างชัดเจน แล้วก็มีเหตุการเกิดขึ้นหลายครั้งเกี่ยวกับเด็กชาย
แต่เด็กชายก็มีความอดทนมีความเชื่อในใจ ก็ไปพบบารับบัส ทำให้เด็กน้อยก็เกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิต
เด็กน้อยรู้ว่าบารับบัสเป็นนักโทษคนหนึ่งของพวกโรมเพราะเป็นหนี้ต่อการเสียสละของพระเยซูอย่างยิ่ง
แต่เด็กน้อยมีความรักถึงได้ช่วยบารับบัสและเป็นห่วงกับบารับบัสตลอดเวลา
ถึงว่าพวกทหารโรมันจะพบบารับบัสก็เป็นเจ็บ และหิวหนาว ถึงเวลาสุดท้ายที่พระเยซูจะถูกตรึงบนไม้กางเขน
ถูกจับตัดสินประหารชีวิตส่วนเวลาของเด็กน้อยใกล้จะหมด ที่พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน
เด็กชายน้ำองุ่นเปรี้ยวก็รีบไปหาพระเยซูเพื่อขอรักสาปานที่แก้ม เพื่อให้หาย
เพราะพระเยซูจะเป็นผู้รักษาได้ แล้วเด็กชายคนนั้นก็มากับนิโคลัสเขาทั้งสองก็รักกันเหมือนบิดาและลูก
แต่เด็กชายก็มีความเชื่อว่าอาจจะมีวันหนึ่งที่จะได้พบพระองค์ขอให้พระองค์เป็นผู้รักษาปานที่หน้าเพื่อให้นิโคลัสมีบุตรที่ดี
แต่เขาต้องได้ทำงานในวันหยุด
เวลาสุดท้ายเด็กน้อยคนก็ได้ไปถึงที่พูเขา
ที่พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน เด็กคนนี้ก็เงยหน้าขึ้นดูพระเยซู
เห็นสายตาของท่านจับจ้องอยู่ที่หญิงผมแดง แต่มีอาไรมากกว่านั้น คือ คำอวยพรที่ปราศจากคำพูด เป็นสัญญาถึงบางอย่างที่แสนอัศจรรย์ในอนาคตของมารีย์และมักดาลาถึงแม้ว่าพระเยซูจะอยู่ใกล้แค่ไหนขอให้พระเยซูช่วยรักษาปาน
แต่เวลากลับไม่ง่ายเท่าที่คิด
เวลาที่พระเยซูจะถูกตรึงบนไม้กางเขนก็เกิดมีความวุ่นวาย และมารีย์ก็เป็นลมและหมดแรงทันทีแล้วยอห์นก็รีบไปช่วยมารีย์กลับไปยังหมู่บ้านหลังหนึ่งแล้วกลับมาพร้อมกับเหยือกนม
เขาประคองเหยือกไว้ขณะมารีย์ดื่ม จากยอห์น และนิโคเดมัสก็กายเป็นคนที่ดีของเขา ยอหน์ก็เป็นบุตรชายที่สุดที่รัก บุตรแห่งพันธ์สัญญา บุตรแห่งพระพร
ที่พระเยซูรักที่สุดในที่สุดยอห์นก็แทนเด็กชายน้ำองุ่นเปรี้ยว
ยอห์นผู้นี้เป็นคนหนึ่งที่มีความรักมีความเชื่อเพราะพระเยซูให้ยอห์นเป็นผู้ดูแลมารีย์ตราบใดที่ยอห์นยังมีชีวิตอยู่
แล้วมารีย์ตอ้งเป็นภาระสำหรับยอห์นจริงๆ ชื่อนั้นมีความสำคัญแม้แต่ชื่อของพระองค์เขาเงยหน้าและหันไปทางเนินเขา
ทูตสวรรค์ว่าพระเจ้าได้ตั้งชื่อพระองค์ว่า เยซู
หมายถึงพระผู้ช่วยให้รอดและอีกชื่อหนึ่งที่มารีย์เรียกพระองค์อยู่บนเขาคือ อิมมานูเอล
แปลว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเรา
ปีลาตออนุญาตให้ไปรับศพได้
และต้องนำศพนั้นมาจากกางเขนก่อนจะวันตะดิน
ยอห์นและนิโคเดมัสก็ได้จัดเตรียมที่จะฝังศพในเยซูไว้ในอุโมงค์ซึ่งอยู่ในสวนเนินเขาทันใดนั้นเขารู้สึกเสยใจ
เวลาที่เขาจะกลับไปที่เนินเขา
โอกาสที่เขาจะได้รับการอัศจรรย์อาจหมดไปความทุกทำให้ชาวเยรูซาเร็ธเหนื่อยอ่อน แต่ยอห์นและมารีย์ต้องการความช่วยเหลือ และศพของท่านเยซูควรได้รับการฝังให้เสร็จสรรพแล้ว แล้วยอห์นก็ได้ช่อยบารับบัสและได้เล่าเรื่องที่พระเยซูพูดกับนีโเดมัสให้บารับบัสฟังทั้งคู่ก็งันไปอยู่ที่ใหม่แล้วบารับบัสเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มด้วยความประหลาดใจ
หลังที่พระเยซูสิ้นพระชนม์แล้วก็มีเหตุการเกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องที่พระเยซูฟื้นคืน
เด็กชายก็ได้ฟังข่าวจากมาร์โคเนียพูดเกี่ยวกับเรื่องพระเยซูจะเป็นขึ้นมาข่าวประกาศเกี่ยวกับพวกสหายที่เฝ้าอุโมงค์
เพราะพระองค์ทำให้หินใหญ่ที่ปิดอุโมงค์ฝังศพเปิดแล้ว ทำให้เด็กน้อยรู้สึกดีใจมีความเชื่อใบหน้าของเขาที่พระเยซูจะรักษาแล้วเขาได้ตามหาพระเยซูเพื่อให้พระเยซูช่วย ก็ได้พบพระเยซู แต่วิ่งเข้าไม่ได้ก็ให้พระเจ้าทรงรักษาเพราะเขาเชื่อที่พระเยซูเทศนาแก่คนมากมาย
ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จขึ้นสวรรค์ และชีวิตของเด็กชายก็มีความเชื่อ ความสุขในใจตลอดเวลาและครอบครัว
ที่สุดเขาก็กลายเป็นลูกของนิโคลัส
มาร์โคเนียสกลับมาไม่ทันเห็นพระเยซูเสด็จสู่สวรรค์
แล้วเด็กชายก็เล่าเรื่องที่พระเยซูเสด็จสู่สวรรค์ให้มาร์โคเนียฟัง
เมื่อพูดถึงหมู่เมฆขาวที่รองพระบาทของพระเยซูและหอบพระองค์ขึ้นสู่สวรรค์ในท้องฟ้าเบื้องบนและเล่าอย่างตื่นเต้นถึงคำกล่าวของชายในชุดข่าวที่ประกาศว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง “พระองค์สัญญาว่าจะไม่ละทิ้งเรา
แต่พระองค์จะอยู่กับเราแต่ละคนในโลกนี้พร้อมๆกัน
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากหนังสือเล่มนี้
เพราะว่ายอห์นผู้นี้มีความเชื่อในใจ
มีความหวังใจเชื่อว่าพระเยซูมีความรักเพียงแค่เขาได้ยินเรื่องของพระเยซูว่า พระเยซูกระทำได้ทุกสิ่งแล้วเขาก็เชื่อว่า
พระเยซูจะทรงเป็นผู้ที่รักษาปานที่แก้มของเขาให้หาย ทำให้ข้าพเจ้าลึกถึงข้อพระคัมภีร์ที่เขียนในพระธรรม
(1โครินธ์13-13) ดังนั้นยังตั้งอยู่สามสิ่ง
คือ ความเชื่อ ความหวังใจและความรักแต่ความรักใหญ่ที่สุด ชีวิตเราก็เหมือนกันไม่ว่าคนใดที่ถือนักผี ถ้าเขาเชื่อสามสิ่งที่กล่าวไว้ข้างต้น
พระเจ้าอาจจะสามารถรักสาเขาได้ แต่เป็นเรื่องยากสำหรับเราที่จะเชื่อในสิ่งที่เราได้ยินเพียงอย่างเดียวโดยที่เราไม่เห็นกับตาเด็กชายคนนี้ได้เป็นแบบอย่างให้แก่คนทั้งหลายหรือคริสเตียนผู้ที่เชื่อรู้นำไปใช้ชีวิตของตนและนำคนอื่นมาเชื่อพระเจ้า
ทำให้ข้าพระเจ้านึกถึงข้อพระคัมภีร์ในพระธรรม ยอห์น 14:6 พระเยซูตรัสกับเขาว่า เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและ
เป็นความชีวิต ไม่มีผู้ใดไปถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา และในพระธรรม มัทธิว 22:37-39 ในข้อที่ 39 เขียนชัดเจนว่า จนรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
เด็กน้อยก็ได้ช่วยบารับบัสและหลายคน ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงข้อพระคัมภีร์พระธรรม
ยอห์น 13:35 ถ้าท่านทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละทุกคนก็จะรู้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา
นำไปใช้
ถึงว่าชีวิตเราจะเป็นยังไงก็ตาม
ต้องมีความเชื่อไว้วางใจพระเจ้าเหมือนเด็กน้อยผู้นี้
ดังที่เขามีปานที่แก้มเพราะเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงรักสาได้ เหมือนกับชิตเราอาจจะมีบาปแต่ถ้าเราไว้วางใจในพระเจ้า
พระเจ้าสามารถทรงรักสาได้และให้อาภัยเรา แต่เราต้องมีความรัก ความช่วยเหลือผู้อื่น
มีความอดทน ไม่เห็นแก่ตัว
รู้ถ่อมตัวและดำเนินชีวิตเป็นแบบอย่างที่ดีของพระเจ้าให้นำผู้อื่นมาเชื่อพระเจ้าได้
สิ่งที่ไม่เห็นด้วย
เป็นฉบับที่อ่านเข้าใจอยากถ้าเราไม่รู้พื้นถานพระคัมภีร์ไม่รู้เรื่องราวของพระเยซูไม่สามารถสรุปได้
ถึงแม้ว่าจะสรุปได้แต่ไม่เหมาะในภายภาพหน้าถ้ามีพี่น้องลาวหรือไทยมาเรียนทูนแรกข้าพเจ้าขออานุญาณให้อาจารย์เอาเล่มอื่นให้เขาสรุปเพราะพื้นถานพระคัมภีร์
และความรู้พื้นถานน้อย
No comments:
Post a Comment