1. โบราณคดีคืออะไร
และแตกต่างจากประวัติศาสตร์อย่างไร
โบราณคดี
คือ การศึกษาเรื่องราวและพฤติกรรมของมนุษย์ในอดีตจากการวิเคราะห์
วิจัยและแปลความโบราณวัตถุและโบราณสถาน
โดยใช้ระเบียบวิธีการศึกษากระบวนการศึกษาต่าง แตกต่างจากประวัติศาสตร์ตรงที่
ประวัติศาสตร์นั้นคือการศึกษาเรื่องราวของมนุษย์จากหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรและหลักฐานประเภทคำบอกเล่ารวมไปถึงการวิเคราะห์
ตีความจากวัตถุประจักษ์พยานต่างๆ
2.
พัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย
การศึกษาสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในวิชาโบราณคดีนั้น
ครอบคลุมถึงระยะเวลาตั่งแต่ช่วงที่เกิดบรรพบุรุษในยุคแรกของมนุษย์ในโลกจนมาถึงช่วงที่มีการจดบันทึกเท่านั้น
การแบ่งช่วงเวลาพัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทยสามารถแบ่งได้
4 ช่วงเวลาคือ
ช่วงเวลาที่ 1 ช่วงก่อนหน้า 10,000 ปีมาแล้ว (ยุคหินเก่า)
ลักษณะการทำมาหากิน ประชากรยังไม่ทำการเพาะปลูกพืช -
เลี้ยงสัตว์ ยังดำรงชีวิตด้วยการการหาของป่า - ล่าสัตว์
พึ่งพาตัวเองและปรับตัวเองให้เข้ากับธรรมชาติแวดล้อมเป็นอย่างมาก
เทคโนโลยีเครื่องมือเครื่องใช้ ได้แก่
เครื่องมือหินกะเทาะรุ่นแรกที่ทำจากแก่นหินหรือสะเก็ดหิน
ซึ่งกำหนดจุดกะเทาะแบบมีแบบแผน พอใช้ตัดเฉือนและพอขูดสิ่งต่าง ๆ ได้ อาจใช้ไม้ไผ่ทำเป็นเครื่องมือหุงต้ม ทำเป็นอาวุธ
แบบแผนที่พักอาศัย ไม่นิยมสร้างบ้านเรืออย่างถาวร
น่าจะมีการเคลื่อนย้ายหมุนเวียนไปมาในเขตพื้นที่ที่คุ้นเคย
ให้สอดคล้องกับฤดูกาลและแหล่งอาหาร ที่อยู่อาศัยอาจประกอบขึ้นมาอย่างง่าย ๆ
หรืออาศัยอยู่ตามเพิงผาถ้ำ
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญ เช่น แหล่งโบราณคดีแม่ทะ จ. ลำปาง พบเครื่องมือหินกะเทาะรุนแรกทำจากกรวดแม่น้ำ
อายุราว 4 – 6 แสนปี หรือ 6 – 8 แสนปีมาแล้ว พบกะโหลกบรรพบุรุษมนุษย์ชนิด โฮโมอิเรคตัส อายุราว 5 แสนปีมาแล้ว
ช่วงเวลาที่ 2 ช่วงราว 10,000
– 5,000 ปีมาแล้ว (ยุคหินกลาง ถึงบางส่วนของยุคหินใหม่)
ลักษณะการทำมาหากิน อาจเริ่มมีการร่วมมือกันล่าสัตว์หลายคน
เนื่องจากพบกระดูกและเขาสัตว์ใหญ่ เช่นวัวป่า แรด อาจมีการสร้างกับดักสัตว์จากไม้
เนื่องจากพบกระดูกสัตว์ที่อาศัยอยู่บนต้นไม้สูงเช่นลิง กระรอก
ยังมีการพบเมล็ดพืชบางชนิด เริ่มเป็นชุมชนแบบเกษตรกรรม
อาจอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ขึ้น
เทคโนโลยีเครื่องมือเครื่องใช้ เริ่มมีการทำเครื่องมือแบบหัวบินเนียน
อาจใช้เครื่องมือหินขัด หรือ ขวานหินขัดด้วย
แบบแผนที่อยู่อาศัย ส่วนใหญ่เป็นถ้ำหรือเพิงผาหินปูนที่อยู่ไม่สูงนักและมีทางน้ำอยู่ใกล้
ๆ ยังคงหมุนเวียนเปลี่ยนที่อยู่ไปมาบ่อย ๆ
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญ เช่น แหล่งโบราณคดีถ้ำผีแมน
จังหวัดแม่ฮ่องสอน พบชิ้นส่วนของ
เมล็ดพริกไทย น้ำเต้า ถั่วบางชนิด สันนิฐานว่า
ประชาชนถ้าผีแมน อาจดำรงชีวิตแบบสังคมเกษตรกรรม
ช่วงเวลาที่ 3 ช่วงราว 5,000
– 2,500 ปีมาแล้ว (ยุคหินใหม่ ถึงยุคสำริด)
ลักษณะการทำมาหากิน เริ่มมีปลูกข้าว
เลี้ยงสัตว์ประเภท วัว หมู ไก่
จัดได้ว่าเป็นสังคมผลิตอาหารเองควบคู่ไปกับการล่าสัตว์และการเก็บของป่า
เทคโนโลยีเครื่องมือเครื่องใช้ มีการทำและใช้เครื่องมือรูปหัวขวานที่ขัดฝนจนเรียบ
เรียกว่าขวานหินขัด มีการใช้ภาชนะดินเผาหลายรูปทรง
มีวิธีการตกแต่งแตกต่างกันซึ่งค้นพบกระจัดกระจายในตามภูมิภาคต่าง ๆ ในประเทศไทย
แสดงถึงมีความแตกต่างทางความคิด ค่านิยมประเพณี มีการแลกเปลี่ยนกันระหว่างชุมชน
แบบแผนที่พักอาศัย เป็นชุมชนแบบอุตสาหกรรมไม่ใหญ่นัก
แต่ละชุมชนมีอิสระจากกัน ปกครองตนเองโดยหัวหน้าแต่ละกลุ่ม
มีการทำเกษตรกรรมและการเลี้ยงสัตว์แบบสัมพันธ์กับที่อยู่อาศัยที่สร้างแบบถาวร
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญ แหล่งโบราณคดีบ้านเก่า จ.
กาญจนบุรี พบภาชนะดินเผาที่โดดเด่นคือแบบ
3 ขา การฝังศพมีแบบแผนแน่นอน ใส่เครื่องประดับ
ลูกปัดที่ทำจากหินและเปลือกหอยในหลุมศพด้วย
ช่วงเวลาที่ 4 ช่วงราว 2,500 ปีมาแล้วลงมา (ยุคเหล็ก )
ลักษณะการทำมาหากิน เป็นสังคมเกษตรกรรมแต่มีการพัฒนาขึ้น
เริ่มมีการเลี้ยงควาย ใช้ควายเป็นแรงงานในการไถนา
เทคโนโลยีเครื่องมือเครื่องใช้ มีการพัฒนาทางด้านโลหะกรรม
-
2,700 – 2,500 ปีมาแล้ว มีการทำสำริดที่มีดีบุกผสมใบปริมาณสูง
ทำให้โลหะแข็งแต่เปราะ
-
2,500 – 2,300 ปีมาแล้ว มีการใช้เหล็กทำอาวุธ
แบบแผนที่พักอาศัย สร้างบ้านเรือนแบบถาวรอยู่กันเป็นหมู่บ้าน
มีชุมชนมากขึ้น กระจายตั้งอยู่ในตามพื้นที่ลุ่มและพื้นที่ดอน
ชุมชนที่ใหญ่กว่าจะเป็นศูนย์กลาง ระบบทางสังคมค่อนข้างทับซ้อนกันมากขึ้น
ชุมชนในแต่ละภูมิภาคมีความสัมพันธ์กันด้วยการติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยน
โดยเฉพาะในยุดนี้ได้มีการติดต่อค้าขายกับทางต่างชาติ ดังหลักฐานทางโบราณคดีที่ค้นพบเช่น
พบกลองมโหระทึกสำริด แบบวัฒนธรรมดองซอนของเวียดนามและวัฒนธรรมในมณฑล
กวางสีของจีน พบลูกปัดหินประเภทหินคาเนเลียน หินโมกุล
หินอาเกต ลูกปัดแก้วสีต่าง ๆ ซึ่งมีแหล่งผลิตในอินเดีย
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญ แหล่งโบราณคดีบ้านโป่งมะนาว จ. ลพบุรี โดยเฉพาะชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์สมัยสุดท้ายราว
2,500 – 2,300 ปี พบโครงกระดูกจำนวนมาก
ซึ่งมีสิ่งของเครื่องใช้ เครื่องมือเหล็ก กำไล แหวนสำริด ลูกปัดกึ่งอัญมณี
เช่นหินโมลา หินโมกุล ลูกปัดแก้วฝังรวมอยู่ด้วย
3. อินเดียช่วยเสริมสร้างวัฒนธรรมทวารวดีใช่หรือไม่
ใช่ - การติดต่อแลกเปลี่ยนระหว่างชาวอินเดียและชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
มีมาตั่งแต่วัฒนธรรมหินใหม่หรือช่วงสังคมเกษตร หลักฐานทางโบราณคดีคือ
พบขวานหินขัดรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าและขวานหินแบบมีบ่าอายุในช่วง 4,000 –
2,000 ปี แพร่กระจายไปดินแดนที่ชนเผ่าที่พูดกลุ่มภาษาญวน มอญ เขมร
อินโดนีเชีย จามอีกทั้งยังพบลูกปัดหิน ประเภทหินคาเนเลียน หินโอนิกซ์ หินอาเกต
ลูกปัดแก้วสีต่าง ๆ ซึ่งมีแหล่งผลิตในอินเดีย ที่พบเช่นโบราณคดีคลองท่อม จ.กระบี่
และ เกาะคอเขา จ.พังงา
แต่เดิม
อินเดียซื้อทองคำในโรมันเป็นจำนวนมากจนทำให้เศรษฐกิจโรมันกระทบกระเทือนไม่อาจขายทองให้อินเดียได้อีก
อินเดียจึงเดินทางมาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อหาแหล่งที่ซื้อทองคำใหม่
และเรียกดินแดนแถบนี้ว่า “สุวรรณภูมิ”
ชาวอินเดียที่เป็นพ่อค้าและนักบวช
ที่เข้ามาตั่งถิ่นฐานตามแหล่งศูนย์กลางทางการค้า
ได้นำเอาความเชื่อขนบธรรมเนียมประเพณีของตนเองเข้ามาด้วย
ที่สำคัญคือวัฒนธรรมของชาวพุทธที่มี่ส่วนช่วยสร้างวัฒนธรรมทวารวดี
“ทวารวดี” เป็นภาษาสันสกฤตหมายถึง
“เมืองท่าค้าขายที่มีทางเข้าออกหลายทาง” อยู่ใน ภาคกลางตอนล่างของประเทศไทยบริเวณ ล้ำน้ำแควน้อย แควใหญ่ ท่าจีน
แม่กลอง ด้านตะวันออกของลุ่มแม่น้ำบางปะกง ภาคอิสาน และภาคใต้บางพื้นที่
เนื่องจากมีแม่น้ำหลายสาย ทางออกทางทะเล
และช่องเขาขาดสู่อิสาน ซึ่งใช้เป็นเส้นทางติดต่อค้าขายระหว่างจีนและอินเดีย
เกิดการกระจายแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับต่างชุมชนได้อย่างรวดเร็ว
ทวารวดีจึงเจริญขึ้นเพราะสาเหตุดังกล่าว
หลังฐานการที่เกี่ยวกับอาณาจักรทวารวดี
หลักฐานลายลักษณ์อักษร เช่น
- หลักฐานจดหมายเหตุจีนของหลวงจีนจี้อิง และ
เหี้ยนจัง ราวพุทธศตวรรษที่ 13 ได้กล่าวถึง อาณาจักร “โถ-โล-โป-ตี” ตั่งอยู่ระหว่างทิศตะวันออกของอาณาจักรศรีเกษตร(พม่า)
และทิศตะวันตกของอาณาจักรอิศานปุระ(เจนละ) เป็นที่มาของชื่อ “ทวารวดี”
- จารึกบนเหรียญกษาปณ์ 2 เหรียญ อักษรปัลลวะภาษาสันสฤต ศาสตราจารย์ ยอร์ส เซเดส์ อ่านได้ว่า “ศรีทวารวดี ศวรปุณยะ...” แปลว่า “บุญกุศลของพระราชาแห่งทวารวดี”
ร่องรอยอารยธรรมอินเดียที่ช่วงสร้างอารยธรรมทวารวดี
- การนับถือศาสนาพุทธ จาก คำภีร์มหาวงศ์ในลังกา กล่าวถึงการสังคยนาพระไตรปิฎกครั้งที่
3 ในช่วงพ.ศ.ว.ที่ 3 พระเจ้าอโศกมหาราชได้ส่งสมณทูตมาเผยแพรพระพุทธศาสนาในดินแดน “สุวรรณภูมิ” สันนิฐานว่าศูนย์กลางของศาสนาพุทธในสมัยทวารวดีคือ
จ.นครปฐม ศาสนาพุทธเป็นนิกายถรวาท หลักฐานเช่นจารึกภาษาบาลีคาถา “เย ธมมา” ที่พบบน ธรรมจักร เจดีย์ ฯลฯ
- สถูปเจดีย์ มักใช้อิฐในการก่อสร้างก่อสร้าง
ฐานมักเป็นสี่เหลี่ยม เช่น เจดีย์จุลปะโทน จ. นครปฐม, เขาคลังนอก,เขาคลังใน จ.เพชรบูรณ์
- พระพุทธรูป ลั
มีลักษณะของอินเดียแบบคุปตะและหลังคุปตะ บางครั้งก็มีอิทธิพลของอมราวดีอยู่ด้วย
ลักษณะเช่น เม็ดพระศกใหญ่ พระขโนงต่อกันคล้ายปีกา พระเนตรโปน พระโอฐแบะ
ห่มจีวรบางคล้ายเปียกน้ำ เช่น พระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาทปางแสดงธรรม ในถ้ำเขางู
จ.ราชบุรี
- ธรรมจักรและกวางหมอบ ลวดลายแบบคุปตะ-หลังคุปตะ
พบมากที่ จ.นครปฐม
- การนับถือศาสนาพราหมณ์ เช่น เทวรูปรุ่นเก่า
มักทำรูปพระนารายณ์ เช่นพบที่เมืองศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี, พระสุริยเทพ เมืองศรีเทพ จ.เพชรบุรี เป็นต้น
- เครื่องมือเครื่องใช้ เช่นการใช้ตราประทับ
เป็นสื่อกลางติดต่อสื่อสารระหว่างสถาบันกษัตริย์ ศาสนา การค้า เช่น
เมืองโบราณจันเสน จ. นครสวรรค์
- การจัดตั่งรัฐแบบอินเดีย คติการสร้างเมือง เช่นระบบคูน้ำคันดิน เช่นแหล่งโบราณคดีซับจำปา จ.ลพบุรี
- ภาษา เช่นภาษาสันสกฤตที่ใช้ในราชการ
ภาษาบาลีในพระไตรปิฎกที่ใช้ในพระพุทธศาสนาในนิกายเถรวาท
- ตัวอักษร เช่นตัวปัลลวะ ที่เป็นต้นแบบของ
ตัวมอญโบราณ ตัวขอมโบราณ เป็นต้น
- กีฬาบางประเภท เช่นการเล่นสกา
พบอุปกรณ์การเล่นที่ เมืองโบราณคดีจันเสน จ. นครสวรรค์
แหล่งโบราณคดีสมัยทวารวดีตามภูมิภาคต่าง
ๆ ของประเทศไทย
- ภาคตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา เช่น
แหล่งโบราณคดีบ้านดอนตาเพชร จ.กาญจนบุรี
- ภาคตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา เช่น
เมืองโบราณจันเสน จ.นครสวรรค์
- ภาคเหนือ เช่น เมืองหริภุญชัย จ.ลำพูน
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น
เมืองฟ้าแดดสงยาง จ.กาฬสินธุ์
-
ภาคใต้ แหล่งโบราณคดีใน อ.ยะรัง
จ.ปัตตานี
No comments:
Post a Comment