เรื่อง ข้าพเจ้ากับทัศนมาตรศาสตร์(Optometry)
คำนำ
รายงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา OPT201 จัดทำขึ้นเพื่อแสดงทัศนะระหว่างตัวเองกับวิชาชีพ Optometry ซึ่งเป็นวิชาชีพที่เพิ่งเข้ามาในประเทศไทย สาขาวิชาทัศนมาตรศาสตร์ยังมีความสำคัญอย่างมากในการปฏิบัติงานทางด้านสาธารณสุขการแพทย์ในลักษณะหน่วยการแพทย์ปฐมภูมิ ผู้ที่เข้ามาศึกษาในสาขาวิชานี้จะเป็นบุคลากรที่จะสามารถเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาสุขภาพด้านสายตาของคนไทยให้ดีขึ้นสืบต่อไป
ในการเขียนรายงานเล่มนี้ข้าพเจ้าได้รวบรวมข้อมูลจากแหล่งความรู้ต่างๆเพื่อนำมาเขียนแสดงทัศนะ และงานชิ้นนี้จะสำเร็จลุล่วงเสียไม่ได้ถ้าขาด อ. ดนัย ตันเกิดมงคล อาจารย์ผู้สอนประจำวิชาผู้ให้คำปรึกษาตลอดการทำรายงานจึงขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย
จัดทำโดย
นางสาว เมริยา เลิศสิริการ
“ นักทัศนมาตร คือ ช่างตัดแว่นใช่ป่ะ…” เป็นคำถามที่ข้าพเจ้าเจอกับตัวเองบ่อยมาก บางครั้งข้าพเจ้าก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมผู้ที่ถามข้าพเจ้าไม่รู้จักไปค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเอาเอง เพราะเดี๋ยวนี้ทันสมัยมากในอินเตอร์เน็ตมีข้อมูลข่าวสารมากมายเกี่ยวกับสาขาวิชาทัศนมาตรศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นความหมาย ที่มา หลักสูตรการเรียนการสอนจนไปถึงอาชีพที่เหมาะกับสาขานี้
ทัศนมาตรศาสตร์ (Optometry) เป็นสาขาวิชาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เริ่มก่อร่างขึ้นตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 13 จากกลุ่มของผู้ประกอบแว่นสายตาซึ่งในระยะเริ่มแรกมีลักษณะเป็นองค์กรทางการ ค้าและธุรกิจ การรวมตัวในลักษณะของผู้ประกอบวิชาชีพไม่ได้เกิดขึ้น จนกระทั่งประมาณปลายศตวรรษที่ 18 ที่เริ่มมีการรวมตัวและจัดระบบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาของวิชาชีพนี้อย่าง ชัดเจน จนมีการจัดระบบขึ้นทะเบิยนบุคลากรในวิชาชีพนี้ในฐานะผู้ประกอบโรคศิลปะทั้ง ในกลุ่มประเทศยุโรปและสหรัฐอเมริกา ในประเทศที่พัฒนาแล้วบุคลากรในสาขาวิชาทัศนมาตรศาสตร์ยังมีความสำคัญอย่าง มากในการปฏิบัติงานทางด้านสาธารณสุขการแพทย์ในลักษณะหน่วยการแพทย์ปฐมภูมิ (Primary Health Care)
นักทัศนมาตร วิชาชีพไม่ใช่จักษุแพทย์ ในความเป็นจริงแล้วนักทัศนมาตรวิชาชีพก็ไม่ได้ทำหน้าที่เฉพาะที่เกี่ยวข้อง กับการประกอบแว่นสายตาเพียงอย่างเดียว แม้ว่าการประกอบแว่นสายตาจะเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาสายตา แต่โดยทั่วไปแล้วนักทัศนมาตรวิชาชีพจะฝึกบุคลากรหรือจ้างบุคลากรระดับช่าง ฝีมือในการทำงานด้านนี้โดยเฉพาะซึ่งที่รู้จักกันดี นั่นคือ ช่างประกอบแว่นสายตา (Optician) ทั้งนี้เพราะช่างประกอบแว่นสายตาทำงานกับแว่นสายตาและธุรกิจการจำหน่ายแว่น สายตาและอุปกรณ์ หลักการปฏิบัติงานตามปกติของช่างประกอบแว่นสายตาก็ไม่ได้จัดว่าเป็นการ ปฏิบัติงานกับมนุษย์โดยตรง อีกทั้งช่างประกอบแว่นสายตาก็ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงสุขภาพด้านอื่นๆของผู้มา ใช้บริการจึงไม่จำเป็นต้องมีใบประกอบโรคศิลปะใน การปฏิบัติงานซึ่งแตกต่างจากนักทัศนมาตรวิชาชีพที่มีการปฏิบัติงานโดยตรงกับ มนุษย์และยังต้องคำนึงถึงความเป็นไปของระบบต่างๆในร่างกายผู้ป่วยด้วย เนื่องจากเหตุผลนี้เอง ลักษณะการปฏิบัติงานของช่างประกอบแว่นสายตาและนักทัศนมาตรวิชาชีพจึงมีความ แตกต่างกันอย่างชัดเจน
ข้าพเจ้ารู้จักสาขาวิชาชีพนี้ผ่านทางแม่ แม่เองก็เป็นนักเรียนรามฯด้วยเช่นกัน วันหนึ่งแม่ของข้าพเจ้ากลับบ้านมาพร้อมกับโบรชัวร์ ข้างหน้าพิมม์ว่า “ทัศนมาตรศาสตร์” คณะนี้ดูท่าทางจะน่าสนใจ ในโบรชัวร์บอกความหมายของทัศมาตรศาสตร์ หลักสูตรที่ต้องเรียน และอาชีพ เมื่อข้าพเจ้าอ่านจบ ก็รู้สึกว่าสาขานี้ดึงดูดความความสนใจและเหมาะกับข้าพเจ้า เมื่อได้หาของมูลเพิ่มเติมทางอินเตอร์เน็ต ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าอยากจะเรียนมากขึ้น ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจที่จะมาสมัครเรียน ซึ่งตอนนั้นก็ทำใจลำบากเพราะสอบติดเกษตรฯ มหาลัยชื่อดังของเมืองไทย มหาลัยที่ทุกคนใฝ่ฝัน แต่ข้าพเจ้าไม่ชอบคณะที่สอบได้ เมื่อนำสองคณะนี้มาเปรียบเทียบแล้วข้าพเจ้าคิดว่าด้านสายตานั้นสำคัญมากและเมืองไทยยังขาดผู้เชียวชาญทางด้านนี้มากพอสมควรเลยทีเดียว เพราะเท่าที่ทราบมา มีผู้เชียวชาญทางด้านนี้อยู่เพียงไม่กี่ท่านในเมืองไทย อีกทั้งข้าพเจ้าเองก็เป็นคนไม่ยึดติดกับสถาบันและให้เกียร์ติทุกสถาบันอีกด้วย จึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะต้องสอบเข้าสาขานี้ให้ได้และจะต้องเรียนให้จบเพื่ออนาคตที่สดใสของตนเองและประเทศชาติ
ในความคิดของข้าพเจ้า เมื่อก้าวสู่สาขาวิชาทัศนมาตรศาสตร์หรือที่รู้จักกันในนามของ “OD” เปรียบเสมือนครอบครัวเล็กๆครอบครัวหนึ่ง แม้จะมีจำนวนนักศึกษาไม่มากนัก แต่ทุกคนก็รักและช่วยเหลือเกื่อกูลกัน ตั้งแต่พี่ๆODช่วยน้องOD เพื่อนๆODช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อีกทั้งยังมีอาจารย์ ดนัย ที่น่ารักและน่าเคารพนับถือ หรือพ่อODของลูกๆทุกคนในODนั้นเอง นี้อาจจะเป็นความรู้สึกส่วนหนึ่งของข้าพเจ้าที่มีต่อบ้านODแห่งนี้ และข้าพเจ้าจะจดจำความรู้สึกดีๆเช่นนี้ตลอดไป
อาจารย์ ดนัย เคยบอกพวกเราOD ปีหนึ่งไว้ว่า ODรามฯนั้นเกิดขึ้นมาได้ด้วยความเสียสละของอาจารย์และพี่ๆทุกๆคน ทุกคนทำด้วยใจและสุดความสามารถ เพื่อให้ODรามฯแห่งนี้พัฒนาและเป็นที่ยอมรับของทั้งประเทศ ข้าพเจ้าจึงตระหนักว่าทุกหยาดเหงื่อของอาจารย์นั้นมีค่ามากและสัญญากับตัวเองว่าจะต้องตั้งใจเรียนให้จบ เพื่อวันหนึ่งจะได้กลับมาช่วยพัฒนาODรามฯแห่งนี้ต่อไปอีก “…ท้อได้แต่ต้องลุกขึ้นสู้…” คำพูดนี้เป็นแรงบันดารใจให้ข้าพเจ้าสามารถต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆและจะเป็นกำลังใจให้ข้าพเจ้าเรียนจนจบ ข้าพเจ้าจะจดจำคำพูดนี้ตลอดไป
ถ้าถามว่า “จบแล้วจะไปทำอาชีพอะไร…” ข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะทำงานสร้างเนื้อสร้างตัวก่อน แล้วจากนั้นก็จะไปทำงานในโรงพยาบาลรัฐเพราะ ข้าพเจ้าเล็งเห็นว่าโรงพยาบาลรัฐยังขาดแคลนบุคลากรทางด้านสายตามาก ทำให้ผู้ป่วยหลายรายไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี เนื่องจากผู้ป่วยบางรายที่มารับรักษาทนรอเข้าคิวไม่ไหว สาเหตุมาจาก ผู้ป่วยหลายรายไม่มีค่าใช้จ่ายเพียงพอที่จะไปพึ่งโรงพยาบาลเอกชน จึงต้องมาพึ่งโรงพยาบาลรัฐ และโรงพยาบาลรัฐเองก็ไม่มีบุคลากรมากพอที่จะรับมือกับผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก เช่นนี้ข้าพเจ้าเองเมื่อได้เห็นเช่นนี้ก็รู้สึกสงสารผู้ป่วยที่ต้องมานั่งรอเรียกคิวตั้งแต่เช้ามืด บางคนรอจนถึงเย็นเพราะเดินทางมาไกล และไม่อยากเสียเที่ยว ทำให้ข้าพเจ้าคิดอยู่เสมอวันหนึ่งข้าพเจ้าจะต้องมาช่วยเหลือคนเหล่านี้ให้ได้
พ่อแม่ของข้าพเจ้ากล่าวอยู่เสมอว่า “…ทำงานต้องทำด้วยใจ ไม่ใช้ด้วยคุณค่าของเงิน…” ข้าพเจ้าตระหนักอยู่เสมอว่าถึงแม้ข้าพเจ้าจะเรียนไม่ค่อยเก่ง แต่ข้าพเจ้ามีใจและรักในอาชีพของข้าพเจ้า ได้เงินมากหรือน้อยเพียงใดนั้นไม่สำคัญ แต่สำคัญที่ว่าข้าพเจ้าทุ่มเทให้กับอาชีพของข้าพเจ้ามากแค่ไหน
ปัจจุบันนี้โรคสายตานั้นเกิดขึ้นได้ง่ายเพราะเนื่องจากโลกของเรากำลังก้าวไปสู่ยุคที่ทันสมัยขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้เด็กๆเพียงอายุ5ขวบก็เล่นเกมคอมพิวเตอร์เป็นเสียแล้ว ปัญหาที่ตามมาก็คือ โรคทางสายตาจากการใช้คอมพิวเตอร์ในเด็ก นั้นเอง โรคนี้เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน การนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ก่อให้เกิดความเครียดต่อดวงตาของเด็ก เนื่องจากคอมพิวเตอร์ได้มีการบังคับให้โฟกัสของดวงตามาอยู่ที่หน้าจอ คอมพิวเตอร์ดังนั้นจึงก่อนให้เกิดความเครียดสูงมากกว่าการทำกิจกรรมอื่น ๆ เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เด็กมักจะทำกิจกรรมข้างนอกบ้าน แต่ปัจจุบัน ในแต่ล่ะวันเด็กนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่เพียงแต่ที่บ้านแต่ยังรวมไปถึง ที่โรงเรียน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาทางสายตา ดังนั้นพ่อแม่ควรที่จะตระหนักถึงปัญหาด้านสายตาที่เกิดจากการใช้งานคอมพิวเตอร์ การใช้งานคอมพิวเตอร์โดยปราศจากการเคลื่อนไหว หรือการบริหารดวงตาย่อมส่งผลเสีย
อีกโรคหนึ่งที่ข้าพเจ้าฟังแล้วรู้สึกขนลุกคือ โรคจอประสาทตาหลุดลอก เป็นอาการที่รุนแรงและส่งผลต่อการมองเห็น โดยเกิดขึ้นเมื่อจอประสาทตาแยกออกจากเนื้อเยื่อที่ยึดอยู่ภายใต้จอประสาทตา เมื่อเนื้อเยื่อเหล่านี้แยกออกจากจอประสาทตา จะทำให้จอประสาทตาไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ และหากปล่อยไว้โดยไม่มีการรักษาก็จะส่งผลให้สูญเสียการมองเห็นในที่สุด
โรคจอประสาทตาหลุดลอกชนิดที่พบได้มากที่สุด เกิดขึ้นเมื่อมีรอยแยกในเนื้อเยื่อชั้นที่รับความรู้สึกของจอประสาทตา และของเหลวจึงไหลซึมออกมา ส่งผลให้ชั้นเนื้อเยื่อของจอประสาทตาหลุดออกจากกัน สำหรับผู้ที่มีสายตาสั้นมาก และเคยได้รับการผ่าตัดตาหรือเคยได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงที่ดวงตา มีความเสี่ยงสูงมากที่จะเป็นโรคจอประสาทตาหลุดลอก ผู้ที่มีสายตาสั้นมีโอกาสเป็นโรคจอประสาทตาหลุดลอกได้มากกว่า เนื่องจากผู้ที่มีสายตาสั้นจะมีความยาวของลูกตามากกว่าปกติ ทำให้จอประสาทตาบางและเปราะกว่าปกติ โรคจอประสาทตาหลุดลอกอีกชนิดหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อเส้นของวุ้นในตาหรือเนื้อเยื่อแผลเป็นทำให้เกิดการดึงรั้งบนจอ ประสาทตา ทำให้เกิดการหลุดลอก ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานมีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคจอประสาทตาชนิดนี้ได้
โรคจอประสาทตาหลุดลอกชนิดที่พบได้มากที่สุด เกิดขึ้นเมื่อมีรอยแยกในเนื้อเยื่อชั้นที่รับความรู้สึกของจอประสาทตา และของเหลวจึงไหลซึมออกมา ส่งผลให้ชั้นเนื้อเยื่อของจอประสาทตาหลุดออกจากกัน สำหรับผู้ที่มีสายตาสั้นมาก และเคยได้รับการผ่าตัดตาหรือเคยได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงที่ดวงตา มีความเสี่ยงสูงมากที่จะเป็นโรคจอประสาทตาหลุดลอก ผู้ที่มีสายตาสั้นมีโอกาสเป็นโรคจอประสาทตาหลุดลอกได้มากกว่า เนื่องจากผู้ที่มีสายตาสั้นจะมีความยาวของลูกตามากกว่าปกติ ทำให้จอประสาทตาบางและเปราะกว่าปกติ โรคจอประสาทตาหลุดลอกอีกชนิดหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อเส้นของวุ้นในตาหรือเนื้อเยื่อแผลเป็นทำให้เกิดการดึงรั้งบนจอ ประสาทตา ทำให้เกิดการหลุดลอก ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานมีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคจอประสาทตาชนิดนี้ได้
นี้อาจจะเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่งของโรคที่เกี่ยวข้องกับสายตาซึ่งเกิดขึ้นในปัจจุบันและเป็นโรคที่อันตรายมาก โรคที่เกี่ยวข้องกับสายตานั้นมีอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งที่ถูกค้นพบแล้วและก็ยังมีบางโรคที่ยังไม่เคยถูกค้นพบเลย
เหตุผลทำให้ข้าพเจ้าอยากเรียนในสาขาวิชานี้คือ ข้าพเจ้ามีความใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นหมอมาตั้งแต่เด็กๆ และข้าพเจ้าอยากจะช่วยเหลือคนอื่นที่ด้อยโอกาสทางด้านสาธารณสุข เนื่องจากข้าพเจ้าตระหนักว่าประเทศไทยยังขาดแคลนบุคลากรทางด้านนี้เป็นจำนวนมาก และสาธารณสุขของไทยนั้นยังครอบคลุมได้ไม่ทั่วถึงนัก ชาวบ้านที่อาศัยในท้องถิ่นหรือชนบทยังขาดความรู้เรื่องสาธารณสุข อีกทั้งคนไทยส่วนใหญ่นั้นไม่ค่อยสนใจสุขภาพของตนเองสักเท่าไร จะมาสนใจอีกทีก็ตอนที่สายเกินจะรักษาแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าจึงอยากจะอุทิศตัวเพื่อช่วยเหลือผู้คนเหล่านี้และหวังเป็นอย่างยิ่งจะว่ามีส่วนช่วยพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวไกลต่อไปทางด้านสาธารณสุขค่ะ
อ้างอิง
momentumpoi@hotmail.comneonwork900
ReplyDelete