Monday, July 11, 2011

ต้นกำเนิดพระเยซูคริสต์


ต้นกำเนิดพระเยซูคริสต์
มัทธิว 1:1-25
คำนำ
มัทธิว 1:1-17 สำหรับเรา?  พอ อ่านมาถึงเรื่องลำดับพงศ์พันธ์ มีความรู้สึกอยากข้ามไปทุกที เรามักสงสัย ว่าฉันได้อะไรจากเรื่องลำดับพงศ์พันธุ์นี้  เรื่องลำดับพงศ์พันธ์นั้น "น่าเบื่อ" และ "ไม่เกิดประโยชน์" สู้พระธรรมตอนอื่นๆไม่ได้ แต่พออ่านบทแรกของมัทธิว จะรู้สึกทึ่ง ลองคิดดู : มัทธิวเป็นหนังสือเล่มแรกของพระคัมภีร์ใหม่ แต่เริ่มต้นด้วยเรื่องลำดับพงศ์ของพระเยซูคริสต์ แปลว่าหนังสือเล่มนี้มีบทนำ เริ่มด้วยการพูดถึงลำดับวงศ์ตระกูล แถมยังเป็นบทนำของพระธรรมเล่มแรกของพระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมดด้วย

ทำไมมัทธิวจึงเห็นว่า การยกเรื่องลำดับพงศ์พันธ์ขึ้นมาเกริ่นนำนั้นน่าสนใจ  เรา ได้รับ "ประโยชน์" ใด จากลำดับ พงศ์พันธ์นี้ ในชีวิตจริง เราก็รู้อยู่ว่าเรื่องวงศ์ตระกูลเป็นเรื่องสำคัญ 
เรื่องลำดับพงศ์เป็นเรื่องสำคัญมากของคนยิว
·     กษัตริย์อิสราเอลต้องเป็นยิว ไม่ใช่คนต่างชาติจากที่ไหนก็ได้ (ฉธบ. 17:15) ต่อมามีการเปิดเผยว่า ต้องเป็นยิวที่สืบเชื้อสายมาทางดาวิดเท่านั้น (2 ซามูเอล 7:14)
·     เมื่อชาวยิว อพยพกลับจากการเป็นเชลยที่บาบิโลน เรื่องสำคัญที่ต้องรีบทำคือ ต้องแสดงตนว่าเป็นชาวยิวแท้ สามารถสืบประวัติ กลับไปถึงต้นตระกูลได้   
·     คนจะรับตำแหน่งปุโรหิตได้ ต้องมีชื่อบันทึกอยู่ในลำดับพงศ์พันธ์ (เอสรา 2:62)
       ข้อแตกต่างในการบันทึกลำดับพงศ์พันธ์ของพระเยซู เรารู้ว่าในหนังสือพระกิตติคุณ ลำดับพงศ์พันธ์ของพระเยซูคริสต์มีบันทึกไว้สองแบบ แบบแรกพบได้ใน มัทธิวบทที่ 1 แบบที่สองอยู่ในลูกา 3:23-38 มัทธิวแบ่งเรื่องลำดับพงศ์พันธ์ออกเป็นสามช่วง จาก อับราฮัม ลงมาที่พระเยซูคริสต์ ส่วนลูกาเริ่มที่พระเยซูคริสต์  กลับไปถึงอาดัม ผู้เป็น "บุตรพระเจ้า"

ข้อแตกต่างโดยรวมอยู่ที่ตรงรูปแบบ แต่มีบางชื่อในลำดับพงศ์พันธ์ของทั้งสองแตกต่างกัน :ความยากอยู่ที่ตอนแรกของลูกา ซึ่งใช้ชื่อต่างกับของมัทธิว คงไม่น่าเป็นปัญหา ถ้าเรากำลัง ศึกษาเรื่องราวของบุคคลสองคน แต่ว่าลำดับพงศ์พันธ์ทั้งสองเป็นเรื่องของพระเยซูคริสต์ นอกจากนั้น ทั้งสองเล่มใช้ทางสายของโยเซฟ สามีของนางมารีย์ ผู้ทำหน้าที่เป็นบิดา-มารดาของพระองค์บนโลก มัทธิวกล่าวว่าโยเซฟเป็นบุตรของยาโคบ ที่สืบเชื้อสายมาจากดาวิด โดยทางบุตรของดาวิด ที่สืบต่อๆมาทางสายของซาโลมอน (มัทธิว 1:16) และลูกากล่าวว่า โยเซฟเป็นบุตรของเฮลี ที่สืบเชื้อสายมาจากดาวิด โดยทางนาธัน ผู้เป็นบุตรของดาวิดเหมือนกัน เป็นพี่น้องกับซาโลมอน(ลูกา 3:23)4

ในขณะที่หลายคนสรุปว่าปัญหานี้ยังหาทางออกไม่ได้ อีกหลายต่อหลายคนคิดอีกแบบ เจมส์ มอนท์โกเมอรี่ บอยส์ เขียนถึงความเป็นไปได้ออกมาเป็นโครงร่างที่น่าสนใจ เจย์ เกรเชม มาเคน นำมาถ่ายทอดให้ฟังเมื่อหลายปีมาแล้ว :

มีหลายวิธีที่น่านำมาใช้ประนีประนอมกัน ในขณะที่ยังหาทางออกไม่ได้ แต่ทั้งหมดแล้ว เรามัก คิดกันว่า กุญแจใขปัญหาที่แท้จริงของกรณีนี้ น่าจะอยู่ตรงข้อเท็จจริงที่ว่า มัทธิว มีความตั้งใจดี แต่นำเสนอรายชื่อคนที่สืบทอดตำแหน่งเพียงบางส่วนเท่านั้น (เป็นได้ หรือมีแนวโน้มว่าเป็นไปได้) จากสายดาวิด ในขณะที่ลูกาใช้วิธีย้อนถอยกลับไปทางโยเซฟ ไปทางนาธัน และ ดาวิด
บอยส์ เสนอทางออกแบบที่สอง ว่าลำดับพงศ์พันธ์ตามของมัทธิว มาทางสายครอบครัวของ โยเซฟ ขณะที่ลำดับพงศ์ตามแบบของลูกา ออกไปทางบรรพบุรุษทางสายของนางมารีย์

มีทางออกที่ดีกว่า ถ้ามองในมุมมองของสองสาย คือสายของโยเซฟ และสายของ นางมารีย์ ทั้งคู่มีบรรพบุรุษคนเดียวกัน คือกษัตริย์ดาวิด … . จากมุมมองนี้ ความต่างระหว่างทั้งสองสาย ไม่ใช่เป็นเรื่องทายาทตาม "กฎหมาย" หรือตามสัมพันธภาพ "บิดา-บุตร" เช่นที่มาเคนเสนอ แต่ตามการ สืบทอด ราชบัลลังก์ ของผู้ที่นั่งบนบัลลังก์จริงๆ หรือสืบทอดจากบิดาสู่บุตรหัวปี ถึงแม้บุตรนั้นจะไม่ได้ขึ้น ครองบัลลังก์ก็ตาม6

อยากจะชี้ให้เห็นว่ายังมีข้อขัดแย้งกันในลำดับพงศ์ของทั้งคู่ ฟังดู คล้ายๆกับที่พวกผู้เชี่ยวชาญชอบเสนอทางออกแบบมีเหตุมีผล ลำดับ พงศ์ของมัทธิว กระทำอย่างรอบคอบ เพื่อสอนเราถึงความจริงสำคัญบางประการ ความจริงพื้นฐานข่าวประเสริฐ ของ พระกิตติคุณในองค์พระเยซูคริสต์ และสำหรับชีวิตของเรา

บทเรียนจากการลำดับพงศ์ของพระกิตติคุณมัทธิว
มัทธิว 1:1-17
ข้อสังเกตุจากลำดับพงศ์ ตามที่บันทึก อยู่ในข้อ 1-17ก่อน และพยายามหาข้อสรุปจากการตั้งข้อสังเกตุนี้
ประการแรก : มัทธิวเริ่มด้วย "หนังสือลำดับพงศ์ของพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นเชื้อสายของดาวิด ผู้สืบตระกูลเนื่องมาจากอับราฮัม" (มัทธิว 1:1) คำที่ว่า "หนังสือลำดับพงศ์" ในภาษากรีกแปลตรงๆว่า "หนังสือต้นกำเนิดของพระเยซูคริสต์" ซึ่งเกือบเหมือนกับคำแปลภาษากรีกของปฐมกาล 2:4 และ 5:1:7

เรื่องฟ้าสวรรค์และแผ่นดินที่พระเจ้าทรงสร้างมีดังนี้ ในวันที่พระเจ้าทรงสร้างแผ่นดินและฟ้าสวรรค์ (ปฐมกาล 2:4).
(คำแปลในภาษากรีก: "เรื่องปฐมกาลของฟ้าสวรรค์และแผ่นดิน … .")
ต่อไปนี้เป็นหนังสือลำดับพงศ์พันธ์ของอาดัม เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์นั้น พระองค์ทรงสร้างตามพระฉายาของพระเจ้า (ปฐมกาล 5:1).
(คำแปลภาษากรีก: "เรื่องปฐมกาล/เผ่าพันธ์ของมนุษย์/อาดัม … .")

ข้อสรุป: ความคล้ายคลึงกันนี้ บังเอิญเอามาก ซึ่งคล้ายกับคำนำของยอห์นข้อแรก บทที่ 1: "ในปฐมกาล พระวาทะดำรงอยู่… ." แน่นอน ยอห์นโยงตอนต้นพระกิตติคุณของเขา (และที่สำคัญที่สุดองค์พระ ผู้เป็นเจ้า)เข้ากับปฐมกาลบทที่ 1 และการทรงสร้าง ในพระธรรมมัทธิวที่เรากำลังศึกษาอยู่นี้ เหมือนจะชี้เราให้ กลับไปดูต้นกำเนิดพงศ์พันธ์แรกในพระคัมภีร์ ซึ่งอยู่ในปฐมกาลบทที่ 5 ในปฐมกาลบทที่ 5 หลังจากที่อาดัมล้มลง ในความบาป พระเจ้าเคยเตือนอาดัมว่า ถ้าวันใดเขา (พวกเขา) กินจากต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่ว เขา(พวกเขา) จะต้องตาย (ปฐมกาล 2:17) จุดประสงค์หนึ่งในต้นกำเนิดพงศ์พันธ์ คือย้ำหนักแน่น ถึงความจริงของ พระวจนะคำ ทุกคนที่สืบทอดพงศ์พันธ์ของอาดัมตายลงตามที่พระเจ้าตรัสไว้ทุกประการ ในทำนองเดียวกับพระ กิตติคุณมัทธิว พระคัมภีร์ใหม่ เริ่มต้นด้วยลำดับพงศ์พันธ์ สิ่งนี้นอกจะตอกย้ำเตือนเราว่า บรรดาชื่อในลำดับพงศ์พันธ์ ที่เกริ่นนำนั้น ตายไปหมดแล้ว ; คำพูดของมัทธิวแฝงเป็นนัยให้รู้ว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นจุดเริ่มต้นของเผ่าพันธ์ใหม่ ที่จะไม่มีวันตาย โดยทั่วไป ลำดับพงศ์พันธ์เป็นการบันทึกรายชื่อของคนที่สิ้นชีวิตไปแล้ว พงศ์พันธ์ของพระเยซูคือ จุดเริ่มต้นของเชื้อสายใหม่ เป็นเชื้อสายของผู้ที่อยู่"ในพระคริสต์" โดยทางความเชื่อ และได้รับชีวิตนิรันดร์ นับเป็น พงศ์พันธ์ที่น่าตื่นเต้นมหัศจรรย์ ! ใครบ้างเล่า ไม่อยากมีชื่ออยู่ในผู้สืบเชื้อสายพงศ์พันธ์ของพระเยซูคริสต์ ?

ข้อสังเกตุประการที่สอง: หลายชื่อในลำดับพงศ์นี้เป็นชื่อที่เราคุ้นเคยกันดี เป็นชื่อของมนุษย์ที่มีตัวตนจริงๆ เคยมีชีวิต อยู่บนโลกนี้ แต่ก็เป็นเพียงมนุษย์

ข้อสรุป: พระเยซูทรงเป็นมนุษย์ (และเป็นพระเจ้าด้วย) มนุษย์จริงๆทีมีต้นตอวงศ์ตระกูล ข้อเท็จจริงที่ว่าพระเยซูเป็น มนุษย์นั้นสำคัญยิ่ง เพราะสามารถแยกผู้ที่ยึดเอาความจริงออกจากพวกเทียมเท็จได้ :

1ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าเชื่อวิญญาณเสียทุกๆวิญญาณ แต่จงพิสูจน์วิญญาณนั้นๆ ว่ามาจากพระเจ้า หรือไม่ เพราะว่ามีผู้พยากรณ์เท็จเป็นอันมากจาริกไปในโลก 2 โดยข้อนี้ท่านทั้งหลายก็จะรู้จัก พระวิญญาณของพระเจ้า : คือวิญญาณทั้งปวงที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ วิญญาณนั้นก็มาจากพระเจ้า (1 ยอห์น 4:1-2 )

ประการที่สาม: ทุกคนที่อยู่ในรายชื่อพระกิตติคุณของมัทธิวล้วนแล้วแต่เป็นคนบาป บางคนก็บาปอย่างไม่ธรรมดา! นี่เป็นปัญหาหนึ่งของเรื่องลำดับวงศ์ตระกูล เพราะบรรพบุรุษของเราบางคนก็แย่เอามากๆ  ถึงแม้คนดีที่สุดของวงศ์ตระกูล ก็ยังเรียกไม่ได้ว่าสมบูรณ์แบบ เราคงต้องให้ เรื่องราวของพวกเขาเป็นบทเรียนสอนใจ ดาวิดและซาโลมอนเป็นมหาบุรุษ แต่ก็เคยทำผิดร้ายแรง ไม่ว่าจงใจหรือไม่ก็ตาม แถมบางคนยังเป็นตัวการขัดขวางแผนการและพระสัญญาของพระเจ้าด้วยซ้ำไป อับราฮัมแรกๆกพยายามชักจูงพระเจ้าให้ สนับสนุนบุตรชายคนโต ที่เกิดจากหญิงรับใช้เป็นทายาท (ปฐก. 15:1-3) ท่านและนางซาราห์พยายามผลิตทายาทสืบสกุล ผ่านนางฮาการ์ ทาสสาวชาวอียิปต์ (ปฐก. 16) ถึงแม้พระเจ้าจะบอกแล้วก็ตาม (ในตอนนั้น) ว่าทายาทที่พระองค์สัญญาไว้ จะเกิดจากตัวท่านเองและนางซาราห์/ซาราย (ปฐก. 17:19) อับราฮัมปกปิดเรื่องภรรยา เที่ยวบอกใครต่อใครว่าเป็นเพียง น้องสาว ทำให้เธอเป็นที่หมายปองของชายอื่น ท่านไม่เพียงหลอกฟาโรห์เท่านั้น (ปฐก. 12:10-20) แต่หลอกอาบีเมเลคด้วย (ปฐก. 20) และเมื่อถูกอาบีเมเลคตำหนิ ท่านกลับบอกอาบีเมเลคว่าท่านและซาราห์ทำอย่างนี้ตลอด ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม (ปฐก. 20:13) อิสอัคบุตรของอับราฮัม ทำอย่างเดียวกับภรรยา นางรีเบคคา (ปฐก. 26:7) ตระกูลนี้มีโครงกระดูกแอบซ่อน ไว้ในตู้ มากมาย!
ข้อสรุป: พระพรที่พระเจ้าประทานให้ประชากรของพระองค์ ไม่เกี่ยวข้องกับการทำความดี มีเพียงคำอธิบายเดียว ว่ามาจาก พระเมตตาและพระคุณเท่านั้น พระพรของพระเจ้าเทลงให้คนบาปทุกคน ไม่ว่าเขาจะทำดีแค่ไหน ขึ้นอยู่กับพระคุณที่ผ่าน มาทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น ลำดับพงศ์ขององค์พระเยซูคริสต์ เน้นให้เห็นชัดเรื่องความบาปของมนุษย์  เฟรเดอริค บรูเนอร์สรุปเอาไว้ :

เราจะเห็นว่ามัทธิวเจาะเรื่องลำดับพงศ์ของพระเยซูในพระคัมภีร์เดิม และนำมาเรียงให้เห็นชัดอย่าง ต่อเนื่อง จนสามารถเข้าใจได้ แถมยังเป็นการประกาศข่าวของพระกิตติคุณในอีกรูปแบบ - คือรูปแบบที่ว่า พระเจ้าทรงเอาชนะและให้อภัยบาปผิดได้ สามารถนำคนบาปที่กลับใจ มาทำให้แผนการ และพระประสงค์ อันยิ่งใหญ่ของพระองคในประวัติศาสตร์สำเร็จลงได้ (สำหรับการกลับใจของยูดาห์ ปฐก. 38:26; สำหรับ ดาวิด 2 ซมอ. 12:13)8

ประการที่สี่ : มัทธิวใส่ชื่อสตรีถึงสี่คนลงในลำดับพงศ์ของท่าน นับว่าเป็นเรื่องพิเศษ โดยเฉพาะสำหรับประเพณียิว เรานึกว่าลูกาน่าจะเป็นคนที่ใส่ชื่อสตรีลงในลำดับพงศ์ เพราะท่านมักให้ความสำคัญกับสตรี แต่กลับกลายเป็นมัทธิวที่ออกจะ เป็นยิวแท้ ใส่ชื่อสตรีทั้งสี่ท่านนี้ลงไป สตรีทั้งสี่ท่านนี้ไม่ใช่คนสำคัญยิ่งใหญ่ใดในพระคัมภีร์เดิม แถมสามท่านยังเป็นต่างชาติ โดยกำเนิด ส่วนอีกคน
- นางบัทเชบา เป็นต่างชาติโดยการแต่งงานกับอุรียาห์ ชาวฮิทไทต์ (มัทธิว 1:6; 2 ซมอ. 11:3) สตรีเหล่านี้ไม่ได้ใสบริสุทธิ์เหมือน "หิมะหน้าหนาว" อย่างพวกยิวจ๋าชอบกล่าวหา 9

ข้อสรุป: พระสัญญาเรื่องความรอดของพระเจ้าที่ผ่านทางพระเมสซิยาห์ มีสำหรับคนบาปที่ไม่สมควรได้รับ รวมทั้งคนต่าง ชาติด้วย สตรีสี่คนที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์ของยิวคือ ซาราห์ เรเบคคา ราเชล และเลอาห์ คนแรกเป็น ภรรยาของอับราฮัม ต่อมาอิสอัค และยาโคบตามลำดับ ถึงไม่มีชื่อปรากฎอยู่ แต่ชื่อสามีของสตรีเหล่า นี้มีบันทึกอยู่ในลำดับพงศ์ ซึ่งมัทธิวมีโอกาสที่จะเอ่ยชื่อสตรีเหล่านี้ขึ้นมา แต่มัทธิวกลับใส่ชื่อสตรีที่น่า สนใจอีกสี่ท่านแทน และเรื่องราวของสตรีทั้งสี่ก็ประกาศถึงพระคุณ และพระเมตตาอันหาที่สุดมิได้ของ องค์พระผู้เป็นเจ้า
เรื่องอื้อฉาวของสตรีทั้งสี่ประกาศถึงพระเมตตาคุณของพระเจ้า ซึ่งเป็นหัวใจของพระกิตติคุณมัทธิว มัทธิวจะค่อยๆสอนเราว่า พระเยซูไม่ได้เสด็จมาในโลกนี้เพื่อคนชอบธรรม แต่เพื่อคนบาป (มัทธิว 9:13); ในลำดับพงศ์ของมัทธิว ท่านสอนว่าพระเยซูไม่ได้มาเพื่อ แต่มาโดยทางคนบาป พระเจ้าไม่ได้เสด็จมา อย่างถ่อมพระองค์ในสภาพยากจนเฉพาะวันคริสต์มาสเท่านั้น ; แต่พระองค์ทรงทำสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่ครั้งใน สมัยพระคัมภีร์เดิม พระเมตตาคุณของพระเจ้า เป็นความจริงลึกซึ้งที่สุดที่มัทธิวค้นพบ ทั้งจากในฉบับพระ คัมภีร์ฮีบรูดั้งเดิม และในองค์พระเยซูคริสต์ (9:13; 12:7) และผ่านทางสตรีทั้งสี่นี้ท่านทำให้ความจริง เรื่องพระเมตตาคุณเด่นชัดขึ้น ด้วยลำดับพงศ์ของพระเยซูตั้งแต่เริ่มแรกทีเดียว

เรื่องลำดับพงศ์แรกของพระคัมภีร์ใหม่ มีเรื่องสอนใจเราได้อย่างน่ามหัศจรรย์ เชื้อสายตั้งแต่อับราฮัมมา จนถึงพระเยซูคริสต์ ผู้สืบเชื้อสายมาทางดาวิด ถูกเลือดต่างชาติปะปนอยู่นับครั้งไม่ถ้วน ตัวกษัตริย์ดาวิด เอง มีย่าทวดของย่าทวดเป็นชาวคานาอัน มีแม่ของย่าทวดเป็นคนเยริโค มีทวดเป็นชาวโมอับ และมี ภรรยาเป็นคนฮิทไทต์ มัทธิวต้องการให้คริสตจักรตระหนักตั้งแต่แรกว่า ไม่ใช่แค่ที่คณะปกครองในกรุง เยรูซาเล็ม (กิจการ 15) แต่พระราชกิจของพระเจ้าเป็นสากลโลก พระองค์ไม่ได้ทรงมีความคิดแคบๆ เหมือนกับพวกหัวรุนแรงหรือพวกชาตินิยม 10
ประการที่ห้า : มัทธิวมีความรอบคอบในการแสดงให้เห็นว่า เชื้อสายของพระเจ้าเป็นเชื้อสายที่ทำให้พระองค์เป็นทั้ง "บุตรดาวิด" และ "บุตรของอับราฮัม":

"หนังสือลำดับพงศ์ของพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นเชื้อสายของดาวิด ผู้สืบตระกูลเนื่องมาจาก อับราฮัม" (มัทธิว 1:1)

อับราฮัมและดาวิดเป็นสองบุคคลในพระคัมภีร์เดิมที่พระเจ้าทรงทำพระสัญญานิรันดร์และสำคัญมากด้วย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการ เสด็จมาของพระเมสซิยาห์

1 พระเจ้าตรัสแก่อับรามว่า "เจ้าจงออกจากเมือง จากญาติพี่น้อง จากบ้านบิดาของเจ้า ไปยังดินแดน ที่เราจะบอกให้เจ้ารู้ 2 เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ เราจะอวยพรแก่เจ้า จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โต เลื่องลือไป แล้วเจ้าจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับพร 3 เราจะอำนวยพร แก่คนที่อวยพรเจ้า เราจะสาปคนที่ แช่งเจ้า บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า" (ปฐมกาล 12:1-3)

พระเจ้าตรัสแก่เจ้าว่า พระเจ้าจะทรงให้เจ้ามีราชวงศ์ 12 เมื่อวันของเจ้าครบแล้ว และเจ้านอนพักอยู่กับ บรรพบุรุษของเจ้า เราจะให้บุตรชายคนหนึ่งของเจ้าเกิด ขึ้นสืบต่อจากเจ้าผู้ซึ่งเกิดมาจากตัวเจ้าเองและ เราจะสถาปนาอาณาจักรของเขา 13 เขาจะเป็นผู้สร้างนิเวศเพื่อ นามของเราและเราจะสถาปนา บัลลังก์ แห่งราชอาณาจักรของเขาให้อยู่เป็นนิตย์ 14 เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา ถ้าเขา กระทำผิดเราจะตีสอนเขาด้วยไม้เรียวของมนุษย์ ด้วยการเฆี่ยนแห่งบุตรมนุษย์ทั้งหลาย 15 แต่ความรัก มั่นคงของเราจะไม่พรากไปจากเขาเสีย ดังที่เราพรากไปจากซาอูล ซึ่งเราได้ถอดเสียให้พ้นหน้าเจ้า (2ซามูเอล 7:11ข-15)

พระสัญญาแรก พระสัญญาของอับราฮัม พระเจ้าสัญญาว่าอับราฮัมจะมีบุตรชาย และโดยทางเชื้อสายของอับราฮัม พระ เจ้าสัญญาว่าจะทรงทำให้เป็นชนชาติยิ่งใหญ่ และทาง "เชื้อสาย" นี้เอง พระองค์ไม่เพียงแต่อำนวยพระพรให้อับราฮัม เท่านั้น แต่ให้ทั้งมวลมนุษยชาติ "เชื้อสาย" ที่ทรงสัญญานี้ จะเป็นแหล่งแห่งพระพร ที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในองค์พระเยซูคริสต์:

15 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง ถึงแม้เป็นคำสัญญาของมนุษย์ เมื่อได้ รับรองกันแล้ว ไม่มีผู้ใดจะล้มเลิกหรือเพิ่มเติมขึ้นอีกได้ 16 บรรดาพระสัญญา ที่ได้ประทานไว้แก่อับราฮัม และพงศ์พันธุ์ของท่านนั้น มิได้ตรัสว่า และแก่พงศ์พันธุ์ทั้งหลาย เหมือนอย่างกับว่าแก่คนมากคน แต่ เหมือนกับว่าแก่คนผู้เดียวคือ แก่พงศ์พันธุ์ของท่าน ซึ่งเป็นพระคริสต์ (กาลาเทีย 3:15-16)

พระสัญญาที่สอง พระสัญญาของดาวิด พระเจ้าสัญญากับดาวิดว่าราชวงศ์ของท่าน จะยั่งยืนเป็นนิตย์ โดยทาง "เชื้อสาย" ของดาวิด การปกครองของพระเมสซิยาห์จะเป็นไปชั่วกาลปวสาน ดังนั้นพระเยซูจึงทรงถูกเรียกว่าเป็น "บุตรดาวิด" (มัทธิว 9:27; 12:23; 15:22; 20:30, 31; 21:9, 15;ดู 22:42-46 ด้วย)

ข้อสรุป: (1) พระเยซูทรงเป็นทั้ง "บุตรของอับราฮัม" และ "บุตรดาวิด" ทรงเป็นผู้กระทำให้ทั้งพระสัญญาอับราฮัม (ดู กาลาเทีย 3:15-16) และพระสัญญาดาวิด (ดูมัทธิว 22:42-46) สำเร็จเป็นจริง ทรงเป็นทายาทอันชอบธรรมของราชบัลลังก์ ดาวิด ; เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล11 (2) เมื่อเราเห็นว่าพระสัญญาอับราฮัม และพระสัญญาดาวิดสำเร็จเป็นจริงในองค์พระเยซู คริสต์ ทำให้เรามั่นใจอีกครั้ง ว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อและรักษาพระสัญญาของพระองค์เสมอ ไม่ว่าพระองค์ตรัสอย่างไร พระองค์จะทำ ที่กางเขนบนเนินหัวกระโหลก พระเจ้าของเราร้องว่า "สำเร็จแล้ว" (ยอห์น 19:30) พระเจ้าทรงทำสิ่งที่ พระองค์เริ่มต้น ให้สำเร็จลงทุกประการ (ฟีลิปปี 1:6)

ประการที่หก:12
1. พระธรรมมาลาคี พระธรรมเล่มสุดท้ายของพระคัมภีร์เดิม จบลงด้วยคำพยากรณ์ที่เล็งถึงการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ และยอห์นผู้ให้บัพติสมา ผู้มาเตรียมมรรคาของพระองค์ :

5 "ดูเถิด เราจะส่งเอลียาห์ผู้เผยพระวจนะ มายังเจ้าก่อนวันแห่งพระเจ้า คือวันที่ใหญ่ยิ่งและน่าสะพรึงกลัวมาถึง 6 และท่านผู้นั้นจะกระทำให้จิตใจของพ่อหันไปหาลูก และจิตใจของลูกหันไปหาพ่อ หาไม่ เราจะมาโจมตีแผ่นดินนั้นด้วยคำสาปแช่ง" (มาลาคี 4:5-6)

2. มัทธิว พระธรรมเล่มแรกของพระคัมภีร์ใหม่ เริ่มด้วยการย้อนประวัติศาสตร์กลับไปยังพระคัมภีร์เดิม ด้วยการใช้เรื่องลำดับ พงศ์พันธ์

3. ลำดับพงศ์ของมัทธิวเริ่มที่อับราฮัม และจบลงที่พระเยซูคริสต์

4. ลำดับพงศ์ของมัทธิวครอบคลุมประวัติศาสตร์อิสราเอลทั้งหมด จากอับราฮัมถึงพระเยซูคริสต์

5. พระกิตติคุณมัทธิว มากกว่าเล่มอื่นใด ย้ำรื่องคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมว่าได้สำเร็จเป็นจริง :

มัทธิวนำพระคำจากพระคัมภีร์เดิมมาใช้อ้างอิงไม่ต่ำกว่าสี่สิบครั้ง และใช้คำนำที่เกือบเหมือนสูตรตาย ตัวว่า ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะ…’ มีไม่ ต่ำกว่าสิบหกหน 13

ข้อสรุป : ลำดับพงศ์ของมัทธิว กล่าวชัดกว่าสิ่งที่ผู้เขียนพยายามนำเสนอในพระกิตติคุณทั้งเล่ม การมาบังเกิดของพระเยซู พระราชกิจที่ทรงกระทำสำเร็จ ตามคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมทุกข้อ แม้กระทั่งพระสัญญาของอับราฮัม และพระสัญญา ของดาวิด ลำดับพงศ์นี้บอกเราว่า พระเยซูทรงเป็นผู้กระทำให้พระคัมภีร์เดิมทั้งหมดสำเร็จลงอย่างครบถ้วน ไม่ว่าเล่มใด ในพระคัมภีร์เดิมที่เราเปิดดู จะพบพระคริสต์อยู่ที่นั่น

1 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทั้งหลายเข้าใจว่า บรรพบุรุษของเราทั้งสิ้นได้อยู่ใต้เมฆ และได้ผ่านทะเลไปทุกคน 2 ได้รับบัพติศมาในเมฆและในทะเลเข้าสนิทกับโมเสสทุกคน 3 และได้รับ ประทานอาหารทิพย์ทุกคน 4 และได้ดื่มน้ำทิพย์ทุกคน เพราะว่าเขาได้ดื่มน้ำซึ่งไหลออกมาจากพระศิลา ที่ติดตามเขามา พระศิลานั้นคือพระคริสต์ (1 โครินธ์ 10:1-4 )


16 เหตุฉะนั้นอย่าให้ผู้ใดพิพากษาปรักปรำท่านในเรื่องการกิน การดื่ม ในเรื่องเทศกาล วันต้นเดือน หรือวันสะบาโต 17 สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเงาของเหตุการณ์ที่จะมีมาในภายหลัง แต่กายนั้นเป็นของพระคริสต์ (โคโลสี 2:16-17)

นับเป็นการเริ่มต้นพระกิตติคุณที่น่าทึ่งจริงๆ ด้วยการนำรายชื่อยาวเหยียดมาเสนอ! แต่สำหรับชาวยิว แล้ว เรื่องนี้ เป็นเรื่องแสนจะธรรมดา ซึ่งเราจะเห็นได้ต่อไป การนำพระเยซูชาวนาซาเร็ธมาเป็นท้องเรื่อง ของทุกสิ่งที่พระเจ้า กระทำให้กับประชากรของพระองค์ ตั้งแต่แรกเริ่มโบราณกาล ไปจนกระทั่งพระสัญญา ทั้งสิ้นสำเร็จลง ในหนังสือ พระกิตติคุณ เป็นพระราชกิจสูงสุดของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์ มานานหลาย ร้อยปี - ในองค์พระเยซูคริสต์ 14
 ท่านอ้างอิงพระคัมภีร์เดิม มากกว่ามาระโก และลูการวมกัน นอกจากนี้ มัทธิว (เพียงผู้เดียว) เขียนพระกิตติคุณเล่มนี้เพื่อชาวยิว ท่านน่าจะเป็นผู้เริ่มต้นหรือผู้นำของพระกิตติคุณทั้งสี่อย่าง แท้จริง รวมทั้งเป็นผู้โยงสิ่งใหม่ให้เข้ากับสิ่งเก่าด้วย ถึงแม้สิ่งใหม่จะเป็นการยกให้ "ยิวมาก่อน" เราควรว่าตามมัทธิวดีกว่า ถึงแม้จะดูล้าสมัยไปสักนิดก็ตาม!15

 มัทธิวรักที่จะแสดงสิ่งที่พระเยซูทำสำเร็จตามคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมตลอดเวลา ท่านจึงชอบ เขียนว่า : "ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งตรัสไว้โดยผู้ เผยพระวจนะ" (โดยเฉพาะ ในบทที่ 1 และ 2) ในลำดับพงศ์   พระเยซูเป็น ผู้ทำให้คำพยากรณ์ และเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นใน พระคัมภีร์เดิม สำเร็จลงครบถ้วนทุกประการ16

ประการที่เจ็ด: ลำดับพงศ์ของมัทธิวมีการจัดเตรียมอย่างดี เป็นหมวดหมู่และเรียงตามลำดับ :

17 ดังนั้นตั้งแต่อับราฮัมลงมาจนถึงดาวิดจึงเป็นสิบสี่ชั่วคน และนับตั้งแต่ดาวิดลงมา จนถึงต้องถูกกวาดไปเป็นเชลยยังกรุงบาบิโลน เป็นเวลาสิบสี่ชั่วคน และนับตั้งแต่ ต้องถูกกวาดไปเป็นเชลยยังกรุงบาบิโลน จนถึงพระคริสต์เป็นสิบสี่ชั่วคน (มัทธิว 1:17)
ลำดับพงศ์ของมัทธิวแบ่งออกเป็นสามช่วง แต่ละช่วงมีสิบสี่ชื่อ17 การจะทำเช่นนี้ได้ ท่านต้องละบางชื่อไป แต่ไม่เป็นปัญหา เพราะในภาษากรีก คำว่า "เป็นบุตรของ"  เป็นลูกหลานของบรรพบุรุษ ซึ่งอาจเป็นลูก เป็นหลาน เป็นเหลนก็ได้  มัทธิวต้องการให้เราเห็นลำดับพงศ์ที่ท่านจัดเรียงไว้ตามลำดับ

ข้อสังเกตุของบรูเนอร์ ในเรื่องโครงสร้างของลำดับพงศ์

ถ้าจะให้เข้าใจเรื่องสิบสี่ชื่อ-สามช่วงนี้ให้ง่ายที่สุด เราต้องลองเรียตัวอักษรของแต่ละช่วงใหม่ เช่นสิบสี่ชื่อ แรกจากอับราฮัมมาจนถึงดาวิดเป็นตัวเอนขวา (/) สิบสี่ชื่อของช่วงที่สอง จากกษัตริย์ซาโลมอนไปจนถึง ถูกต้อนไปเป็นเชลยในบาบิโลน เอนซ้าย (\) และสิบสี่ชื่อสุดท้าย จากเป็นเชลยในบาบิโลนจนถึงพระเยซู คริสต์ เอนขวาใหม่ (/)18

บรูเนอร์แนะว่า ช่วงแรกจากอับราฮัมถึงดาวิด ทุกอย่างดูดีขึ้นและดีขึ้นตามลำดับ ต่อมาบุตรของดาวิด กษัตริย์ซาโลมอน ดูจะพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด ในหนังสือของบรูเนอร์ (หน้า 5) เชื่อว่าเป็นช่วงที่สำแดงเด่นถึงพระเมตตาคุณของ พระเจ้า ที่เราเห็นเช่นนี้ได้ เพราะมีการนำชื่อสตรีต่างชาติเข้ามาบันทึกอยู่ในลำดับพงศ์

ช่วงที่สอง อาณาจักรที่เคยรุ่งเรืองสุดเริ่มดิ่งลง (หลังจากดาวิดและซาโลมอน) ลงไปจนถึงจุดตกต่ำที่สุด เมื่ออิสราเอล ตกไปเป็นเชลยของพวกบาบิโลน หลังจากซาโลมอนสิ้นชีวิต อาณาจักรแตกแยกเป็นสอง บรรดากษัตริย์ที่ปกครองฝ่ายเหนือ มีแต่ดำเนินอยู่ในความชั่ว ส่วนกษัตรยิ์ของฝ่ายยูดาห์มีทั้งดีทั้งชั่วผสมกันไป การที่ต้องตกไปเป็นเชลยเป็นเพราะความดื้อดึง และกบฏไม่รู้จักจบสิ้นของยูดาห์  ดูเหมือนความหวังของอิสราเอลที่พระเจ้าจะทำตามพระสัญญา ที่ให้ไว้ในพระคัมภีร์เดิม หดลง

ช่วงที่สาม เริ่มจะดีขึ้นอีกครั้ง พระเจ้าทรงช่วยกู้ประชากรของพระองค์ออกจากบาบิโลน และนำพวกที่เหลือกลับคืนสู่มาตุภูมิ มีทั้งภัยอันตรายและความผิดหวัง แต่อิสราเอลเริ่มมีความหวัง

ข้อสรุป : พระเจ้าผู้ครอบครอง ทรงควบคุมอยู่เหนือประวัติศาสตร์ของอิสราเอล เพื่อพระประสงค์และพระสัญญาของพระองค์ จะสำเร็จลงอย่างครบถ้วน  ที่เห็นมนุษย์ก่อแต่เรื่องไม่รู้จบ ในขณะที่พระสัญญาของ พระเจ้ายังคงอยู่ ต่อให้ดีที่สุดของมนุษย์ก็ยังเป็นคนบาป ต่ำกว่ามาตรฐานของพระเจ้าชนิดสุดกู่ ดาวิดและซาโลมอนเป็น กษัตรยิ์ที่ยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตก็มีแต่เรื่อง บาปของทั้งสองสร้างผลกระทบใหญ่หลวงให้กับอิสราเอล ถ้าพระสัญญาของพระเจ้าจะ สำเร็จลงได้โดยต้องพึ่งคนพวกนี้ เราทั้งหลายคงจะน่าสมเพชเป็นที่สุด
 ทูตสวรรค์กำลังเฝ้าดูเหตุการณ์ต่างๆ (1 โครินธ์ 11:10; เอเฟซัส 3:10; 1 เปโตร 1:10-12) พวกทูตสวรรค์คงหายใจไม่ทั่วท้อง เมื่อเห็นอับราฮัมเที่ยวบอกใครๆว่าภรรยาเป็นน้องสาว และส่ง นางไปให้ฟาโรห์ (ปฐก. 12:10-20) แล้วไปทำเช่นเดิมอีกกับอาบีเมเลค ทั้งๆที่พระเจ้าสัญญาจะประทานบุตรชายให้โดยนาง ซาราห์ (ปฐก. 17:15-21; 20:1-18) ยูดาห์เป็นต้นสายของวงศ์วานที่พระเมสซิยาห์จะมาเกิด (ปฐก. 49:8-12) แต่ยูดาห์เกือบ อดมีบุตรเพราะความบาปของท่านเอง (ปฐก. 38) ครั้งแล้วครั้งเล่าที่พวกทูตสวรรค์ต้องกลั้นหายใจ กลัวว่าพระะสัญญาจะไม่มี ทางเกิดขึ้นเป็นจริง ถ้ามองด้วยสายตามนุษย์ วุ่นวายสิ้นดี

วิธีการที่มัทธิวเรียบเรียงลำดับพงศ์นี้ เป็นระเบียบเรียบร้อย และเป็นขั้นเป็นตอน แบ่งเป็นสามช่วง แต่ละช่วงมีสิบสี่ชื่อ สิ่งเหล่า นี้แสดงให้เห็นถึงการทำงานที่ละเอียดและเป็นระเบียบของท่าน ถ้ามองตามมุมมองของมนุษย์ ดูจะมีแต่เรื่องสับสน อลหม่าน แต่ผลลัพท์กลับชัดเจนและเป็นเรื่องเดียว นั่นคือพระเจ้าทรงควบคุมอยู่ พระประสงค์และพระสัญญาจะเกิดขึ้น เป็น จริงเสมอ

สำหรับมัทธิว สามช่วงสิบสี่ชื่อนี้ เป็นการจัดเรียงอย่างมีระเบียบ สอดคล้องกันและมีความหมาย เมื่อ มัทธิวมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ ไปที่ประชากรของพระเจ้า ท่านเห็นการสืบทอดต่อมาของสิบสี่ ชั่วคน คั่นด้วยแต่ละยุคของประวัติศาสตร์ ระหว่างอับราฮัม ดาวิด การเป็นเชลย และพระคริสต์ ท่าน เกิดความประทับใจ ในการครอบครองอยู่ของพระเจ้า ไม่ว่าจะด้านหลัง ภายใต้ อยู่เหนือ และตลอดความ สับสนอลหม่าน ความบาป การกบฎดื้อดึง ตลอดประวัติศาสตร์ที่ขึ้นๆลงๆของอิสราเอล พระเจ้าค่อยๆทำ พระประสงค์ของพระองค์ให้สำเร็จลงแต่ละปีๆ บรรดาผู้คนที่โลดแล่นอยู่ในประวัติศาสตร์ครั้งกระโน้น คง คิดว่าวุ่นวายจริงหนอ แต่เมื่อมองย้อนกลับไปที่พระคัมภีร์เดิม ผ่านมุมมองประวัติศาสตร์ที่พระเยซูคริสต์นำ เสนอ เราเห็นพระหัตถ์อันมั่นคงและแน่นอนของพระเจ้า สามช่วงสิบสี่ชื่อ หมายถึงการครอบครองอยู่ ของพระเจ้าของเรา 19
ประการที่แปด : ลำดับพงศ์ของมัทธิวไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานรูปแบบที่เราคิด เช่นเรียงลำดับจากอิสอัคไปยาโคบ และต่อไปที่ยูดาห์ (ม้ทธิว 1:2) โดยทั่วๆไปการสืบทอดวงศ์ตระกูลมักจะผ่านทางบุตรหัวปี เรารู้ว่าเอซาวเป็นบุตรคนโตของ อิสอัค ไม่ใช่ยาโคบ แต่การลำด้บพงศ์กลับผ่านไปทางยาโคบ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องเล่าธรรมดาๆ แต่เป็นแผนการ ของพระเจ้าที่สำเร็จลง :
21 อิสอัคอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อภรรยาของท่าน เพราะนางเป็นหมัน พระเจ้าประทานตามคำอธิษฐาน
ของท่าน เรเบคาห์ภรรยาของท่านก็ตั้งครรภ์ 22 เด็กก็เบียดเสียดกันอยู่ในครรภ์ของนาง นางจึงพูดว่า "ถ้าเป็นเช่นนี้ ฉันจะมีชีวิตอยู่ทำไม" นางจึงไปทูลถามพระเจ้า 23 พระเจ้าตรัสกับนางว่า "ชนสองชาติ อยู่ในครรภ์ของเจ้า และประชาชนสองพวกเกิดจากเจ้าจะต้องแยกกัน พวกหนึ่งจะแข็งแรงกว่าอีกพวกหนึ่ง พี่จะรับใช้น้อง" (ปฐมกาล 25:21-23)

ข้อสรุป : ลำดับพงศ์ของมัทธิวเป็นข้อพิสูจน์ถึงการทรงเลือกของพระเจ้า ถึงแม้ว่าโยเซฟเป็นลูกคนโปรดของยาโคบ (และ ท่านแบ่งส่วนมรดกบุตรห้วปีให้หลานถึงสองเท่าโดยรับเป็นบุตรของตนเอง ปฐมกาล 48) แต่กลับเป็นทางสายของยูดาห์ ที่พระเมสซิยาห์ทรงมาบังเกิด ยูดาห์ไม่ได้เป็นบุตรห้วปี ; รูเบนเป็น ตามด้วยสิเมโอน รูเบนเสียตำแหน่งเพราะล่วงเกินเอา ภรรยาของบิดามาเป็นของตนเอง (ปฐมกาล 49:3-4) สิเมโอนและเลวีสังหารชาวเมืองเชเคมอย่างโหดเหี้ยม (ปฐมกาล 34) ด้งนั้นการสืบทอดพงศ์จึงไม่สามารถทำได้โดยทางสิเมโอน (ปฐมกาล 49:5-7) ตามที่ อ.เปาโลชี้ให้เห็นในพระธรรมโรม 9 ลำด้บพงศ์ตามพระส้ญญานั้นเป็นการทรงเลือกที่ช้ดเจนยิ่ง :

6 แต่มิใช่ว่าพระวจนะของพระเจ้าได้ล้มเหลวไป เพราะว่าเขาทั้งหลายที่เกิดมาจากอิสราเอลนั้น หาได้เป็น คนอิสราเอลแท้ทุกคนไม่ 7 และมิใช่ว่าทุกคนที่เป็นเชื้อสายของอับราฮัมเป็นบุตรแท้ของท่าน แต่ว่า เขา จะ "เรียกเชื้อสายของท่านทางอิสอัค" 8 หมายความว่าคนที่เป็นบุตรของพระเจ้านั้น มิใช่บุตรทางเนื้อ หนัง แต่บุตรตามพระสัญญา จึงจะถือว่าเป็นผู้สืบเชื้อสายได้ 9 เพราะพระสัญญามีว่าดังนี้ : "เราจะมา ตามฤดูกาล และนางซาราห์จะมีบุตรชาย" 10 และมิใช่เท่านั้น แต่ว่า นางเรเบคคาก็ได้มีครรภ์กับชาย คนหนึ่งด้วย คืออิสอัคบรรพบุรุษของเรา— 11 แม้ก่อนบุตรนั้นบังเกิดมา และยังไม่ได้กระทำดีหรือชั่ว เพื่อ พระดำริของพระเจ้าในการทรงเลือกนั้น จะตั้งมั่นคงอยู่ ไม่ใช่ตามการประพฤติ แต่ตามซึ่งพระองค์ทรง เลือก — 12 พระองค์จึงตรัสแก่นางนั้นว่า "พี่จะปรนนิบัติน้อง" 13 ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า "ยาโคบนั้นเรารัก แต่เอซาวเราได้ชัง" (โรม 9:6-13)

แม้ยาโคบจะต่อสู้ทั้งกับพระเจ้าและมนุษย์ (ดูปฐมกาล 32:28) ในที่สุดท่านก็พบว่า พระเจ้าเองเป็นผู้ยกมนุษย์ขึ้น ให้เหนือ กว่ามนุษย์ผู้อื่น ท่านกล่าวทิ้งท้ายไว้ก่อนตายว่า :

12 โยเซฟเอาบุตรลงจากเข่าของท่าน แล้วกราบลงถึงดิน 13 โยเซฟจูงบุตรทั้งสองเข้าไปใกล้บิดา มือขวาจับ เอฟราอิมให้อยู่ข้างซ้ายอิสราเอล และมือซ้ายจับมนัสเสห์ให้อยู่ข้างขวาอิสราเอล 14 ฝ่ายอิสราเอลก็เหยียด มือขวาออกวางบนศีรษะเอฟราอิมผู้เป็นน้อง และมือซ้ายวางไว้บนศีรษะมนัสเสห์ เหยียดมือออกไขว้กันเช่นนั้น เพราะมนัสเสห์เป็นบุตรหัวปี 15 แล้วอิสราเอลกล่าวคำอวยพรแก่โยเซฟว่า "ขอพระเจ้าที่อับราฮัมและอิสอัค บิดาข้าพเจ้า ดำเนินอยู่เฉพาะพระพักตร์นั้น ขอพระเจ้าผู้ทรงบำรุงเลี้ยงชีวิตข้าพเจ้า ตั้งแต่เกิดมาจนวันนี

16 ขอทูตสวรรค์ที่ได้ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากความชั่วร้ายทั้งสิ้น โปรดอวยพรแก่เด็กทั้งสองนี้ ให้เขาสืบชื่อ ของข้าพเจ้าและชื่อของอับราฮัม และชื่อของอิสอัคบิดาของข้าพเจ้าไว้ และขอให้เขาเจริญขึ้นเป็นมวลชน บนแผ่นดินเถิด" 17 ฝ่ายโยเซฟเมื่อเห็นบิดาวางมือข้างขวาบนศีรษะของ เอฟราอิมก็ไม่พอใจ จึงจับมือบิดา จะยกจากศีรษะเอฟราอิมวางบนศีรษะมนัสเสห์ 18 โยเซฟเตือนบิดาว่า "ไม่ถูก คุณพ่อ เพราะคนนี้เป็นหัวปี ขอพ่อวางมือขวาบนศีรษะคนนี้เถิด" 19 บิดาก็ไม่ยอม ตอบว่า "พ่อรู้แล้ว ลูกเอ๋ย พ่อรู้แล้ว เขาจะเป็นคนเผ่าหนึ่งด้วย และเขาจะใหญ่โตด้วย อย่างไรก็ดีน้องชายจะใหญ่โตกว่าพี่ และพงศ์พันธุ์ของน้องนั้น จะเป็น คนหลายประชาชาติด้วยกัน" 20 วันนั้นอิสราเอลก็ให้พรแก่ทั้งสองคนว่า "พวกอิสราเอลจะใช้ชื่อเจ้าให้พรว่า 'ขอพระเจ้าทรงโปรดให้ท่านเป็นเหมือนเอฟราอิม และเหมือนมนัสเสห์ เถิด'" อิสราเอลจึงให้เอฟราอิมเป็นใหญ่กว่ามนัสเสห์ (ปฐมกาล 48:12-20)

โยเซฟรู้สึกหนักใจที่บิดาสับสน ไม่รู้ว่าหลานคนใดคือบุตรหัวปี สมควรได้รับมรดกตามสิทธิ ท่านพยายามนำมือบิดา ไป วางไว้ที่บุตรหัวปี เพื่อจะได้รับพร แต่ยาโคบไม่สนใจทำตาม ท่านรู้ดีว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่ และในขณะที่ท่านสลับมือกลับ เชื่อว่า การกระทำเช่นนี้เป็นพยานอย่างดีถึงการทรงเลือกของพระเจ้าผู้ควบคุม ล้วนแล้วมาจากพระองค์ เพราะพระองค์ เป็นผู้ครอบครอง ลำดับพงศ์ของมัทธิวจึงเป็นพยานถึงการทรงเลือกของพระเจ้า

ต้นกำเนิดของพระเมสซิยาห์
มัทธิว 1:18-25
ลำดับพงศ์ตามข้อ 1-17 แสดงให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์ของพระเยซูคริสต์ มัทธิวแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรง เป็นลูกหลานของอับราฮัมและดาวิด และเป็นไปตามพระสัญญาที่พระองค์ทรงกระทำไว้กับทั้งสอง เมื่อได้ พิสูจน์ถึงความเป็นมนุษย์ของพระเยซูแล้ว (เป็นมนุษย์เที่ยงแท้แน่นอน) ท่านต้องเปิดเผยให้รู้ถึงต้นกำเนิด แท้จริงของพระเมสซิยาห์ พระเมสซิยาห์ไม่ได้เป็นเพียงมนุษย์เท่านั้น ; พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าด้วย พระเจ้า ผู้สถิตกับเรา ข้อ 18-25 พูดถึงขั้นตอนที่นางมารีย์ตั้งครรภ์ มิใช่โดย โยเซฟ แต่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ :

18 เรื่องพระกำเนิดของพระเยซูคริสต์เป็นดังนี้ คือมารีย์ผู้เป็นมารดาของพระเยซูนั้น เดิมโยเซฟ ได้สู่ขอหมั้นกันไว้แล้ว ก่อนที่จะได้อยู่กินด้วยกันก็ปรากฏว่า มารีย์มีครรภ์แล้วด้วยเดชพระวิญญาณ
บริสุทธิ์ 19 แต่โยเซฟคู่หมั้นของเขาเป็นคนมีธัมมะ ไม่พอใจที่จะแพร่งพรายความเป็นไปของเธอ หมายจะถอนหมั้นเสียลับๆ 20 แต่เมื่อโยเซฟยังคิดในเรื่องนี้อยู่ ก็มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้า มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า "โยเซฟบุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้าเลย เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิ์ในครรภ์ของเธอเป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ 21 เธอจะประสูติบุตรชาย แล้วเจ้าจงเรียกนามท่านว่า เยซู พราะว่าท่านเป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิด
บาปของเขา" 22 ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า
23 ดูเถิด หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่าน
ว่าอิมมานูเอล (แปลว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา) 24 ครั้นโยเซฟตื่นขึ้นก็กระทำตามคำซึ่งทูตของพระเจ้าสั่งนั้น คือได้รับมารีย์มาเป็นภรรยา 25 แต่มิได้สมสู่กับเธอจนประสูติบุตรชายแล้ว และโยเซฟเรียกนามของบุตรนั้น
ว่าเยซู
ข้อสังเกตุบางประการ

ข้อแรก มัทธิวมุ่งความสนใจของผู้อ่านไปที่โยเซฟ ขณะที่ลูกาให้ความสำคัญที่นางมารีย์ แต่ที่สุดแล้วน้ำหนักไปลงที่การถือ กำเนิดขององค์พระเยซูเท่าเทียมกัน แต่ทำไมมัทธิวจึงให้เราเห็นว่าเรื่องของโยเซฟนั้นสำคัญ? เหตุผลหนึ่งคือ โดยทาง โยเซฟนี้เอง ที่เป็นผู้ต่อลำดับพงศ์จากดาวิดมายังพระเยซู โยเซฟไม่ได้เป็นบิดาทางกายของพระเยซู เป็นเพียงบิดาทาง กฎหมายเท่านั้น ดังนั้นพระเยซูจึงได้เป็น "บุตรดาวิด" โดยทางท่าน

มัทธิวเพียงต้องการให้เราเห็นข้อเท็จจริงว่าโยเซฟนั้นเป็นผู้ "มีธัมมะ" (1:19) ดูเหมือนเป็นที่เข้าใจว่า นางมารีย์อายุยังน้อยเมื่อมีพระเยซู อาจในวัยรุ่น และโยเซฟนั้นอายุมากกว่า (เข้าใจกันว่าท่านเสียชีวิตก่อนพระเยซู เสด็จออกทำพันธกิจ) โยเซฟมีธัมมะในใจพอ ท่านเสนอขอถอนหมั้นนางมารีย์อย่างลับๆ แทนที่จะเอาเรื่อง เอาราวกับนางทางข้อกฎหมาย นายกเทศมนตรีอิลลินอยส์ จอร์จ ไรอัน ยกโทษให้นักโทษประหาร ถึงสี่คน และบางคนลดโทษให้เหลือแค่จำคุกตลอดชีวิต ที่ทำเช่นนี้เพราะเมื่อมีการสอบสวนกันอย่างรอบคอบ พบว่า นักโทษบางคนบริสุทธิ์ และคนที่ทำผิดจริงถูกนำตัวมาลงโทษ ไรอันกล่าวเมื่อถูกวิจารณ์ว่า "ท่านทำในสิ่งที่กล้าหาญมาก" แต่ท่านกลับพูดว่ามันเป็นเพียง "ทำในสิ่งที่ถูกต้อง"

โยเซฟคงรู้จักนางมารีย์เป็นอย่างดี ; รู้พื้นเพว่าเธอเป็นคนอย่างไร ดำเนินอย่างบริสุทธิ์ และซื่อตรง เธอคงบอกโยเซฟว่า เธอไม่เคยมีสัมพันธ์กับชายใด และแน่ๆเล่าเรื่องที่ทูตสวรรค์มาพบ และการตอบสนองของเอลีซาเบท เรื่องที่มารีย์เล่า ฟังดูเหลือเชื่อ จนทำให้ดาวิดคิดสงสัย …….ในความมีธัมมะของท่าน ท่านไม่ยอมให้เรื่องนี้รู้ถึงมือกฎหมาย เพราะเป็น เรื่องคอขาดบาดตาย ท่านยอมให้นางมารีย์ดำเนินชีวิตต่อไปอย่างเงียบๆ คอยเวลาที่ความจริงเปิดเผย เพื่อยืนยันตาม คำบอกเล่าของนาง  มัทธิวบอกเราตั่งแต่ต้นว่าโยเซฟเป็นคนมีธัมมะ เพราะเหตุนี้จึงคิดว่าสิ่งที่โยเซฟทำเพื่อนางมารีย์นั้น เป็นเพราะความมีธัมมะของท่าน
ต้องเป็นคนมีธัมมะในใจ มีความเชื่อมากพอ จึงจะเชื่อคำพูดของทูตสวรรค์ในความฝันได้ ว่านางมารีย์ตั้งครรภ์โดยเดชของ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ต้องเป็นคนมีธัมมะพอ ที่จะรับหญิงตั้งครรภ์นี้มาเป็นภรรยา โดยที่ทุกคนคิดว่าท่านเป็นบิดาของเด็ก แลดูเหมือนทั้งคู่ทำบาปก่อนแต่งงาน ต้องเป็นคนที่สงบและมีความมั่นคงในจิตใจ พอที่จะจัดการกับสถานะการณ์อันเจ็บปวดนี้ ได้ และพร้อมรับเรื่องอื่นๆที่จะตามมา เมื่อพระเยซูถือกำเนิด (ไม่ว่าการเดินทางไปเบธเลเฮม ไม่มีที่พักอาศัย) โยเซฟยอม เสี่ยงภัย ทิ้งประเทศอิสราเอล นำครอบครัวไปหลบภัยในประเทศอียิปต์ ท่านใช้สติปัญญา และเชื่อฟังการทรงนำของพระเจ้า ผ่านทางนิมิตที่มีมาหลายครั้ง พระเจ้าทรงมีพระคุณอย่างเหลือล้นที่จัดเตรียมคนเช่นนี้ให้กับนางมารีย์ เพื่อให้นางมั่นใจ และ สบายใจ เพื่อให้นางมีที่ปรึกษา มีผู้คอยคุ้มครองดูแลนางและบุตรที่กำลังเกิดมา!

ประการที่สอง มัทธิวมีความรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง ที่ประกาศถึงการกำเนิดอันบริสุทธิ์ของพระเยซู ในข้อ 1-17 มัทธิวแสดง ให้เห็นต้นกำเนิดเชื้อสายของพระเยซู ซึ่งผ่านมาทางอับราฮัมและดาวิด ตอนนี้มัทธิวกำลังแสดงให้เห็นชัดว่าพระเยซูไม่ได้เป็น เพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าด้วย ความเป็นพระเจ้าของพระองค์ทำให้คำพยากรณ์ของอิสยาห์เกิดขึ้น เป็นจริง (อิสยาห์ 7:14, นำมาอ้างในมัทธิว 1:23) ทูตสวรรค์เองก็ประกาศถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ ที่นางมารีย์ตั้ง ครรภ์ ทูตสวรรค์ประกาศว่าไม่ใช่เป็นเพราะมนุษย์คนใด แต่เป็นโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ข้อ 20-21) การประกาศว่าโยเซฟ มิใช่เป็นบิดาที่แท้จริงของพระเยซูนั้น กระทำด้วยความนุ่มนวลแต่ชัดเจน

ประการที่สาม ในข้อพระคำตอนนี้ มัทธิวอธิบายถึงพระลักษณะและพระราชกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยชื่อสองชื่อ ในลำดับ พงศ์ข้อ 1-17 มัทธิวโยงพระเยซูเข้ากับบุคคลสำคัญสองท่านในพระคัมภีร์เดิม : อับราฮัมและดาวิด พระเยซูทรงเป็น "บุตร ดาวิด" และทรงเป็น "บุตรของอับราฮัม" ด้วย ดังนั้นพันธสัญญาของทั้งอับราฮัมและงดาวิด จึงสำเร็จลงอย่างสมบูรณ์ ต่อมาในข้อ 18-25 มัทธิวอธิบายถึงบุคคลของพระเยซูคริสต์และพระราชกิจของพระองค์ โดยชื่อสองชื่อของพระองค์ : (1) เยซู (โยชูวา = ยาเวห์ทรงกู้); และ (2) อิมมานูเอล ("พระเจ้าอยู่ด้วยกับเรา")
 สำหรับชาวยิวแล้วชื่อแต่ละชื่อมีความหมายและสำคัญจนเรานึกไม่ถึง "อับราม" แปลว่า "บิดาผู้สูงส่ง" ส่วน "อับราฮัม" แปลว่า "บิดาของผู้คนมากมาย" พระเยซูทรงตั้งชื่อซีโมนว่า "เปโตร" หรือ "เปตรอส" แปลว่าศิลา ชื่อของพระเยซูบ่งถึงพระลักษณะและพระราชกิจของพระองค์ คำว่าเยซูมาจากภาษาฮีบรู โยชูวา แปลว่า "พระเยโฮวาห์เป็นความรอด" ตามที่ทูตสวรรค์แจ้งแก่โยเซฟ ว่าเด็กที่จะเกิดแก่นางมารีย์นั้น จะมีนามว่า "เยซู" "เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขา" (มัทธิว 1:21) พระเยซูทรงเป็นหนทาง ความรอดของพระเจ้า เป็นผู้ที่พระเจ้าจะทำให้แผนการความรอดเพื่อคนบาปทั้งหลายสำเร็จลง พระองค์ทรงเป็นผู้เดียว ที่มีคุณสมบัติพอสำหรับพระราชกิจนี้ เพราะพระองค์ทรงเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์ ทรงปราศจากบาป จึงทรงเป็น "ลูกแกะ ของพระเจ้า" ที่สมบูรณ์ไร้ตำหนิ  

พระเยซูทรงถูกเรียกอีกด้วยว่าเป็นองค์ "อิมมานูเอล" ตามคำพยากรณ์ของอิสยาห์ 7:14 (ดู 1เปโตร 1:10-12) ตามข้อพระคำในพระคัมภีร์เดิมที่มัทธิวยกมา ยังเห็นไม่ชัดเจน เหมือนมีม่านบังอยู่ ถึงพระราชกิจของพระเมสซิยาห์ ซึ่งกินความหมายลึกซึ้งกว้างไกลกว่าจะบรรยายเป็นคำพูดได้ ส่วนมากสิ่งที่เป็นเหมือนม่านบัง จะไม่มีใครมองทะลุได้หมด จนพระราชกิจของพระคริสต์สำเร็จลง โดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ "อิมมานูเอล" แปลว่า "พระเจ้าอยู่ด้วยกับเรา" ในการลง มาบังเกิด พระเจ้าเสด็จเข้ามาในโลกนี้ มารับสภาพเนื้อหนัง อยู่ท่ามกลางมนุษย์ ท่านยอห์นพูดถึงเรื่องนี้ไว้อย่างสวยงามว่า :

14 พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์ คือพระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา 15 ยอห์น ได้เป็นพยานให้แก่พระองค์ และร้องประกาศว่า "นี่แหละคือพระองค์ผู้ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงว่าพระองค์ผู้ เสด็จมาภายหลังข้าพเจ้าทรงเป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า" 16 และ เราทั้งหลายได้รับจากความบริบูรณ์ของพระองค์ เป็นพระคุณซ้อนพระคุณ 17 เพราะว่าพระเจ้า ได้ทรง ประทานธรรมบัญญัตินั้นทางโมเสส ส่วนพระคุณและความจริงมาทางพระเยซูคริสต์ 18 ไม่มีใครเคยเห็น พระเจ้าเลย พระบุตรองค์เดียวผู้ทรงสถิตอยู่ในพระทรวงของพระบิดา พระองค์ได้ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว (ยอห์น 1:14-18)

การสถิตอยู่ของพระเจ้าท่ามกลางเรา ไม่ใช่แป็นเวลาแค่สามสี่ปีที่พระเยซูทำพันธกิจบนโลกนี้ ถ้อยคำสุดท้ายของพระกิตติคุณ มัทธิว ทำให้ผู้อ่านมั่นใจว่าพระองค์จะสถิตกับเรา จนถึงสิ้นยุค :

18 พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า "ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดี ทรงมอบไว้แก่เราแล้ว 19 เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ 20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่ง สารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค"
(มัทธิว 28:18-20)

ด้วยเหตุที่พระองค์ทรงยัง "อยู่กับเรา" พระองค์ทรงส่งพระวิญญาณของพระองค์ มาอยู่ท่ามกลางเรา และภายในเรา :

16 เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไป
17 คือพระวิญญาณแห่งความจริง ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะแลไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ ท่านทั้งหลาย รู้จักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ในท่าน (ยอห์น 14:16-17)

พระคัมภีร์เดิมห้าเล่มแรก  กับสิ่งที่ธรรมิกชนในยุคพระคัมภีร์ใหม่ได้รับ การมีประสบการณ์ความชื่นชมยินดี ความรู้สึกปลอดภัย ใน "การสถิตอยู่กับเรา" ของพระองค์ ชนิดที่ธรรมิกชนในพระคัมภีร์เดิมไม่มีโอกาสได้รับ ลองคิดถึงความต่างของธรรมิกชนใน ยุคพระคัมภีร์เดิม เช่นเรื่อง "ระยะทาง" และความเป็นอยู่ของคนในยุคนั้น:

20 พระเจ้าเสด็จลงมาบนยอดภูเขาซีนาย พระเจ้าทรงเรียกโมเสสให้ขึ้นไปบนยอดเขา โมเสสก็ขึ้นไป
21 พระเจ้าตรัสสั่งโมเสสว่า "เจ้าจงลงไปกำชับประชาชน เกรงว่าเขาจะล่วงล้ำเข้ามาถึงพระเจ้า เพราะ
อยากเห็น แล้วเขาจะพินาศเสียเป็นจำนวนมาก 22 อีกประการหนึ่ง พวกปุโรหิต ที่เข้ามาเฝ้าพระเจ้า นั้นให้เขาชำระตัวให้บริสุทธิ์ ด้วยเกรงว่าพระเจ้าจะทรงพระพิโรธลงโทษเขา" 23 ฝ่ายโมเสสกราบทูล
พระเจ้าว่า "ประชาชนขึ้นมาบนภูเขาซีนายไม่ได้ เพราะพระองค์ทรงสั่งข้าพระองค์ทั้งหลายว่า 'จงกั้น เขตรอบภูเขานั้น ชำระให้เป็นที่บริสุทธิ์'" 24 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า "ลงไปเถิด แล้วกลับขึ้นมาอีก พาอาโรนขึ้นมาด้วย แต่อย่าให้พวกปุโรหิตและประชาชนล่วงล้ำขึ้นมาถึงพระเจ้า เกรงว่าพระองค์จะลง
โทษเขา" 25 โมเสสก็ลงไปบอกประชาชนตามนั้น (อพยพ 19:20-25)

ในอพยพ 32 ชาวอิสราเอลทำบาปใหญ่หลวงเมื่อโมเสสไม่อยู่ พวกเขายุให้อาโรนทำวัวทองคำ และเริ่มนมัสการมัน พระเจ้า ประสงค์จะกำจัดคนอิสราเอลให้หมดสิ้น และสร้างพงศ์พันธ์ขึ้นมาใหม่ โดยทางโมเสส เมื่อโมเสสเข้ามาช่วยกู้สถานการณ์ พระเจ้าทรงยอมให้ โดยส่งทูตสวรรค์มานำคนอิสราเอลไปยังดินแดนพันธสัญญา แต่พระองค์ตรัสว่าจะไม่ไปด้วย เพราะ เหตุว่า:

2 เราจะใช้ทูตผู้หนึ่งนำหน้าเจ้าไปและจะไล่คนคานาอัน คนอาโมไรต์ คนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์
คนเยบุส ออกเสียจากที่นั่น 3 จงนำไปถึงแผ่นดินซึ่งมีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ แต่เราจะไม่ขึ้นไปกับ
พวกเจ้า เกรงว่าเราจะทำลายล้างพวกเจ้าเสียกลางทาง เพราะว่าเจ้าเป็นชนชาติที่หัวแข็ง" (อพยพ 33:2-3)

แต่แล้วพระเจ้าก็ยอมไปด้วย พระองค์ทรงสถิตอยู่ท่ามกลางประชากรของพระองค์ ในอภิสุทธิสถานในพลับพลา ถึงกระนั้น ก็ยังมีสิ่งที่ขวางกั้นระหว่างมนุษย์และพระเจ้า ม่านในพลับพลา ที่ปุโรหิตใช้กั้น แยกประชากรอิสราเอล ออกจากพระเจ้า :

52 ให้คนอิสราเอลตั้งเต็นท์ตามที่ของตนแต่ละพวก และแต่ละคนตามค่ายของตน และแต่ละคนตามธงเผ่าของตน
53 แต่ให้คนเลวีตั้งเต็นท์รอบพลับพลาพระโอวาท เพื่อมิให้พระพิโรธเกิดเหนือชุมนุมชนอิสราเอล ให้เผ่าเลวีปฏิบัติ งานพลับพลาพระโอวาท" (กันดารวิถี 1:52-53)

มนุษย์ไม่อาจเข้าเฝ้าพระเจ้าได้โดยไม่มีเครื่องถวายบูชา ถึงกระนั้นก็ยังมีขอบเขตในการเข้าเฝ้า ช่างแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับ เมื่อพระเยซูถือกำเนิดขึ้นมาในโลกนี้ :

11 ซึ่งมีตั้งแต่ปฐมกาล ซึ่งเราได้ยิน ซึ่งเราได้เห็นกับตา ซึ่งเราได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรานั้น เกี่ยวกับพระวาทะแห่งชีวิต 2 (และชีวิตนั้นได้ปรากฏ และเราได้เห็น และเป็นพยาน และประกาศชีวิต นิรันดร์นั้นแก่ท่านทั้งหลาย ชีวิตนั้นได้ดำรงอยู่กับพระบิดาและได้ปรากฏแก่เราทั้งหลาย) (1ยอห์น 1:1-2)

เราไม่ต้องนำเครื่องเผาบูชามาถวาย เราไม่ถูกกำจัดขอบเขตการเข้าเฝ้า และ ขณะที่พระเจ้าอยู่กับเราที่ในโบสถ์ พระองค์สถิตอยู่ในเราเสมอโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และจะอยู่ต่อไปจนสิ้นยุค ผู้ที่ช่วยกู้ เรา คือผู้ที่อยู่ติดสนิทกับเรา และพระองค์สัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งเราเลย :

5 ท่านจงอย่าเป็นคนเห็นแก่เงิน จงพอใจในสิ่งที่ท่านมีอยู่ เพราะว่าพระองค์ได้ตรัสว่า เราจะไม่ละท่าน หรือทอดทิ้งท่านเลย 6 เหตุฉะนั้นเราทั้งหลายอาจกล่าวด้วยใจเชื่อมั่นว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นพระ ผู้ช่วยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว มนุษย์จะทำอะไรแก่ข้าพเจ้าได้เล่า? (ฮีบรู 13:5-6)

เราไม่เห็นจะต้องกลัวเมื่ออยู่ใกล้องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา อย่างที่ธรรมิกชนในพระคัมภีร์เดิมเคยเป็น ในพระคริสต์ เรามีหน ทางเข้าเฝ้าพระเจ้า :

คิดดูดีๆ ผู้ที่ช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความผิดบาป สัญญาว่าจะอยู่ท่ามกลางพวกเรา และอยู่กับเรา  เราจะสัมผัสถึงการช่วยกู้ และการทรงอยู่กับเราได้อย่างไร? โดยทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น เราต้องสารภาพบาปผิดของเรา และวางใจในองค์พระเยซู ว่าพระองค์ทรงโปรดยกโทษให้ เราต้องรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วย และเมื่อนั้นพระองค์จะทรงช่วย เรา และสถิตอยู่กับเรา คุณรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยแล้วหรือยัง? พระองค์สถิตอยู่กับคุณและภายในคุณหรือยัง? นี่เป็นพระ ราชกิจที่พระองค์เสด็จมากระทำบนโลกนี้ ได้ต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และเป็นผู้อยู่เคียงข้างคุณตลอดไป
--------------------------------------------------------------------------------1 เป็นลิขสิทธิ์ของ (Copyright © 2003) Community Bible Chapel, 418 E. Main Street, Richardson, TX 75081. บทเรียนพระธรรมมัทธิวบทนี้ (Studies in the Gospel of Matthew ) จัดเตรียมโดย Robert L. Deffinbaugh เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2003 สามารถนำไปใช้เพื่อการศึกษาเท่านั้น ทางคริสตจักรของเราเชื่อว่าบทเรียนเหล่านี้ ถูกต้องตรงตามพระ วจนะคำทุกประการ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาเพิ่มเติม ไม่มีการหวงห้ามถ้าต้องการใช้สำหรับการเรียนการสอนพระวจนะ เป็นงานของ Community Bible Chapel.
เผยแพร่ผ่านสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อรองรับการใช้งานทางอินเตอร์เน็ท และซีดี (compact disk) ที่ใดก็ตามในโลก ที่ต่อเข้าอินเตอร์เน็ทได้ ก็สามารถเรียกดู และพริ้นทข้อมูลไว้เพื่อใช้ศึกษาเป็นการส่วนตัวได้โดยไม่คิดมูลค่า นอกจากนี้ ผู้ใดก็ตาม ที่ต้องการนำข้อมูลเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่คิดเงิน สามารถทำได้จากเว็บไซด์ : www.netbible.org.
9 อย่าลืมว่ายูดาห์เองยังสารภาพว่าทามาร์นั้น "ชอบธรรมยิ่งกว่าเรา" (ปฐก. 38:26) บัทเชบาตกเป็นเหยื่อ มากกว่า จะเป็นผู้ล่อลวง (2 ซมอ. 12:1-4) และราหับมีชื่ออยู่ใน "ทำเนียบผู้เชื่อ" (ฮีบรู 11:31).
11 อย่างที่นาธานาเอลกล่าวไว้ (และต่อมามัทธิวก็แสดงให้เราเห็น) ว่าพระเยซูทรงเป็น "บุตรพระเจ้า" ดังนั้นพระองค์จึงเป็น "กษัตริย์ของอิสราเอล" (ยอห์น 1:49).
17 บรูเนอร์ยังชี้ให้เป็นอีกว่า รายชื่อตอนที่สามนี้มีแค่ 13 ชื่อ ไม่ใช่ 14 เพราะมัทธิวเองเป็นปุถุชน อาจมีข้อบกพร่องบ้างเช่นเดียวกับเราทั้งหลาย


No comments:

Post a Comment