อาณาจักรล้านนา
ประวัติศาสตร์
อาณาจักรล้านนา คือ ราชอาณาจักรของชาวไทยวนในอดีตที่ตั้งอยู่บริเวณภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย ตลอดจนสิบสองปันนา เช่น เมืองเชียงรุ่ง (จิ่งหง)
มณฑลยูนนาน ภาคตะวันออกของพม่า ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน
ซึ่งมีเมืองเชียงตุงเป็นเมืองเอก ฝั่งตะวันตกแม่นำสาละวิน มีเมืองนายเป็นเมืองเอก
และ 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน และแม่ฮ่องสอน[1]โดยมีเมืองเชียงใหม่ เป็นราชธานี มีภาษา ตัวหนังสือ วัฒนธรรม และประเพณีเป็นของตนเอง
ต่อมาถูกปกครองในฐานะรัฐบรรณาการของอาณาจักรตองอู อาณาจักรอยุธยา และอาณาจักรอังวะ จนสิ้นฐานะอาณาจักร
กลายเป็นเมืองส่วนหนึ่งของอาณาจักรอังวะในราชวงศ์นยองยาน ไปในที่สุด
ชื่อ ล้านนา หมายถึง ดินแดนที่มีนานับล้าน
หรือมีที่นาเป็นจำนวนมาก คู่กับล้านช้าง คือดินแดนที่มีช้างนับล้านตัว เมื่อปี พ.ศ. 2530 คำว่า
"ล้านนา" กับ "ลานนา" เป็นหัวข้อโต้เถียงกัน ซึ่งคณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย
ซึ่งมี ดร. ประเสริฐ ณ นคร เป็นประธาน ได้ให้ข้อยุติว่า "ล้านนา" เป็นคำที่ถูกต้อง
และเป็นคำที่ใช้กันในวงวิชาการ
ปัญหาที่นำไปสู่การโตเถียงกันนั้น
สืบเนื่องมาจากในอดีตการเขียนมักไม่ค่อยเคร่งครัดในเรื่องวรรณยุกต์
แต่ก็เป็นที่เข้าใจกันว่า แม้จะเขียนโดยไม่มีรูปวรรณยุกต์โทกำกับ
แต่ให้อ่านเหมือนมีวรรณยุกต์โท[] สำหรับคำ
"ลานนา" น่าจะมาจากพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ว่า "ลานนาหมายถึงทำเลทำนา"
ซึ่งทำให้คำว่าลานนาใช้กันมาเป็นเวลาเกือบหนึ่งศตวรรษ ภายหลัง พ.ศ. 2510
นักวิชาการระดับสูงพบว่าล้านนาเป็นคำที่ถูกต้องแล้ว
และชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อ ดร. ฮันส์ เพนธ์ ค้นพบคำว่า "ล้านนา"
ในศิลาจารึกที่วัดเชียงสา ซึ่งเขียนขึ้นในปี พ.ศ. 2096
คำว่าล้านนาน่าจะเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยพญากือนา เนื่องจากพระนาม
"กือนา" หมายถึงจำนวนร้อยล้าน
และต่อมาคำล้านนาได้ใช้เรียกกษัตริย์และประชาชน แพร่หลายมากในสมัยพระเจ้าติโลกราช
ส่วนการใช้ว่า "ล้านนาไทย" นั้น
เป็นเสมือนการเน้นความเป็นไทย ซึ่งใช้กันมาในสมัยหลังด้วยเหตุผลทางการเมือง
อาณาเขต หลักฐานทางประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่า
ดินแดนล้านนานั้นหมายถึงดินแดนบางส่วนของอาณาบริเวณ ลุ่มน้ำแม่โขง ลุ่มน้ำสาละวิน
แม่น้าเจ้าพระยา ตลอดจนเมืองที่ตั้งตามลุ่มน้ำสาขาเช่นแม่นำกก แม่น้ำปิง แม่น้ำวัง
แม่น้ำยม แม่น้ำน่าน แม่น้ำปาย แม่นำแตง แม่น้ำงัด
ฯลฯโดยมีอาณาเขตทางทิศใต้จดเมืองตาก (อำเภอบ้านตากในปัจจุบัน)
และจดเขตดินแดนด้านเหนือของอาณาจักรสุโขทัย ทิศตะวันตกเลยลึกเข้าไปในฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสาละวิน
ทิศตะวันออกจดฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขง ทิศเหนือจดเมืองเชียงรุ่ง
(หรือคนจีนเรียกในปัจจุบันว่า เมืองจิ่งหง
เนื่องจากคนจีนออกเสียงภาษา"ไทยลื้อ"ไม่ชัด จาก "เจียงฮุ่ง"
จึงกลายเป็น "จิ่งหง"Jinghong ซึ่งบริเวณชายขอบของล้านนา อาทิ เมืองเชียงตุง เชียงรุ่ง เมืองยอง เมืองปุ
เมืองสาด เมืองนาย เป็นบริเวณที่รัฐล้านนาแผ่อิทธิพล ไปถึงในเมืองนั้นๆ
(ในบางสมัยเช่นสมัยพญามังราย พระเจ้าติโลกราช ที่มีพระราชแสนยานุภาพเกรียงไกร)
ในสมัยโบราณได้กล่าวถึงเมืองขึ้นกับดินแดนล้านนามี 57 เมือง ดังปรากฏในตำนาน พื้นเมืองของเชียงใหม่ว่า ใน สัตตปัญญาสล้านนา 57
หัวเมือง แต่ก็ไม่ได้ระบุว่ามีเมืองใดบ้าง
ปัจจุบันมีหลักฐานที่พม่านำไปจากเชียงใหม่ในสมัยที่พม่าปกครองเมืองเชียงใหม่ (พ.ศ. 2101-2317) และได้แปลเป็นภาษาพม่าต่อมาในปี ค.ศ. 2003 ทางมหาวิทยาลัย
Yangon ได้แปลเป็นภาษาอังกฤษชื่อ Zinme Yazawin หรือตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ฉบับภาษาพม่า(ชื่อเต็มดูที่อ้างอิง
ท้ายนี้)ได้ระบุเมืองต่างๆ กว่า 50 หัวเมือง(รายละเอียดชื่อเมืองต่างๆปรากฏอยู่ในหนังสือ
Zinme Yazawin ภาคภาษาอังกฤษ อยู่แล้ว) เช่น เมืองฝาง
เมืองเชียงของ เมืองพร้าว เมืองเชียงดาว เมืองลี้ เมืองยวม เมืองสาด เมืองนาย
เมืองเชียงตุง เมืองเชียงคำ เมืองเชียงตอง เมืองน่าน เมืองเทิง เมืองยอง เมืองลอง
เมืองตุ่น เมืองแช่ เมืองอิง เมืองไลค่า เมืองลอกจ๊อก เมืองปั่น เมืองยองห้วย
เมืองหนองบอน เมืองสู่ เมืองจีด เมืองจาง เมืองกิง เมืองจำคา เมืองพุย เมืองสีป้อ
เมืองแหง เมืองหาง เมืองพง ฯลฯ
การก่อตั้งอาณาจักร พญามังราย กษัตริย์แห่งหิรัญนครเงินยาง องค์ที่ 25 ในราชวงศ์ลวจังกราชปู่เจ้าลาวจก
ได้เริ่มตีเมืองเล็กเมืองน้อย ตั้งแต่ลุ่มแม่น้ำกก แม่น้ำอิง และแม่น้ำปิงตอนบน รวบรวมเมืองต่างๆให้เป็นปึกแผ่น นอกจากเงินยางแล้ว
ยังมีเมืองพะเยาของพญางำเมืองพระสหาย
ซึ่งพญามังรายไม่ประสงค์จะได้เมืองพะเยาด้วยการสงคราม
แต่ทรงใช้วิธีผูกสัมพันธไมตรีแทน หลังจากขยายอำนาจระยะหนึ่ง
พระองค์ทรงย้ายศูนย์กลางการปกครอง โดยสร้างเมืองเชียงรายขึ้นแทนเมืองเงินยาง เนื่องด้วยเชียงรายตั้งอยู่ริมแม่น้ำกกเหมาะเป็นชัยสมรภูมิ
ตลอดจนทำการเกษตรและการค้าขาย
หลังจากได้ย้ายศูนย์กลางการปกครองมาอยู่ที่เมืองเชียงรายแล้ว
พระองค์ก็ได้ขยายอาณาจักรแผ่อิทธิพลลงทางมาทางทิศใต้ ขณะนั้นก็ได้มีอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองมาก่อนอยู่แล้วคือ
อาณาจักรหริภุญชัย
มีนครลำพูนเป็นเมืองหลวงตั้งอยู่ในชัยสมรภูมิที่เหมาะสมประกอบด้วยมีแม่น้ำสองสายไหลผ่านได้แก่แม่น้ำกวงและแม่น้ำปิงซึ่งเป็นลำน้ำสายใหญ่ไหลลงสู่ทะเลเหมาะแก่การค้าขาย
มีนครลำปางเป็นเมืองหน้าด่านคอยป้องกันศึกศัตรู
สองเมืองนี้เป็นเมืองใหญ่มีกษัตริย์ปกครองอย่างเข้มแข็ง
การที่จะเป็นใหญ่ในดินแดนแถบนี้ได้จะต้องตีอาณาจักรหริภุญชัยให้ได้
พระองค์ได้รวบรวมกำลังผู้คนจากที่ได้จากตีเมืองเล็กเมืองน้อยรวมกันเข้าเป็นทัพใหญ่และยกลงใต้เพื่อจะตีอาณาจักรหริภุญชัยให้ได้
โดยเริ่มจากตีเมืองเขลางค์นคร นครลำปางเมืองหน้าด่านของอาณาจักรหริภุญชัยก่อน
เมื่อได้เมืองลำปางแล้วก็ยกทัพเข้าตีนครลำพูน (แคว้นหริภุญชัย) พระองค์เป็นกษัตริย์ชาตินักรบมีความสามารถในการรบไปทั่วทุกสารทิศ
สามารถทำศึกเอาชนะเมืองเล็กเมืองน้อยแม้กระทั่งอาณาจักรหริภุญชัยแล้วรวบเข้ากับอาณาจักรโยนกเชียงแสนได้อย่างสมบูรณ์
หลังจากพญามังรายรวบรวมอาณาจักรหริภุญชัยเข้ากับโยนกเชียงแสนเสร็จสิ้นแล้ว
ได้นามราชอาณาจักรแห่งใหม่นี้ว่า "อาณาจักรล้านนา"
พระองค์มีดำริจะสร้างราชธานีแห่งใหม่นี้ให้ใหญ่โตเพื่อให้สมกับเป็นศูนย์กลางการปกครองแห่งอาณาจักรล้านนาทั้งหมด
พร้อมกันนั้นก็ ได้อัญเชิญพระสหายสนิทร่วมน้ำสาบานสองพระองค์ได้แก่ พญางำเมืองแห่งเมืองพะเยา และ พ่อขุนรามคำแหงแห่งสุโขทัย มาร่วมกันสถาปนาราชธานีแห่งใหม่ในสมรภูมิบริเวณที่ลุ่มริมฝั่งมหานทีแม่ระมิงค์
(แม่น้ำปิง)
โดยตั้งชื่อราชธานีแห่งใหม่นี้ว่า "นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่" แต่ก่อนที่จะตั้งเมือง พระองค์ทรงได้สร้างราชธานีชั่วคราวขึ้นก่อนแล้ว
ซึ่งก็เรียกว่า เวียงกุมกามแต่เนื่องจากเวียงกุมกามประสบภัยธรรมชาติใหญ่หลวงเกิดน้ำท่วมเมืองจนกลายเป็นเมืองบาดาล
ดังนั้นพระองค์จึงได้ย้ายราชธานีมาอยู่ ณ นครเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 1839 และได้เป็นศูนย์กลางการปกครองราชอาณาจักรล้านนานับแต่นั้น
นครเชียงใหม่มีอาณาบริเวณอยู่ระหว่างเชิงดอยอ้อยช้าง (ดอยสุเทพ)
และ บริเวณที่ราบฝั่งขวาของแม่น้ำปิง (พิงคนที)
นับเป็นสมรภูมิที่ดีและเหมาะแก่การเพาะปลูกเนื่องจากเป็นบริเวณที่ราบลุ่มมีแม่น้ำไหลผ่าน
การเมือง-การปกครองในสมัยราชวงศ์มังราย
พญามังรายทรงส่งพระญาติวงศ์ของพระองค์
ไปปกครองหัวเมืองต่างๆ ที่เป็นเมืองขึ้น หรือเมืองที่สร้างขึ้นใหม่ เช่น
เมืองเขลางค์ (ลำปาง) เมืองเขมรัฐเชียงตุง(ในพม่า) และ เชียงรุ้ง (สิบสองปันนาในจีน) ทรงส่งพระราชโอรสไปปกครอง
เมืองที่ใหญ่และสำคัญๆ ได้แก่ เมืองนาย (หัวเมืองไทใหญ่) และเชียงราย
ซึ่งเคยเป็นเมืองราชธานีของล้านนา
รัชสมัยของพระเจ้าติโลกราช (พ.ศ. 1985-2030) พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 9 ในราชวงศ์มังราย พระองค์ได้รับการยกย่องให้มีฐานะเป็น "ราชาธิราช" พระองค์ทรงแผ่ขยายขอบขัณฑสีมาของอาณาจักรล้านนาให้ยิ่งใหญ่และกว้างขวางกว่าเดิม
ในรัชสมัยของพระเจ้าติโลกราช
อาณาจักรล้านนา ยังได้ทำสงครามกับอาณาจักรอยุธยา ซึ่งอยู่ทางตอนใต้
ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ นานถึง 25 ปี
โดยมีสาเหตุมาจากความต้องการในการแผ่อิทธิพลเข้าไปในสุโขทัยของทั้งสองอาณาจักร
แต่ไม่มีฝ่ายไหนได้ชัยชนะอย่างเด็ดขาด ทั้งสองอาณาจักรจึงผูกสัมพันธไมตรีต่อกัน
จนกระทั่งอาณาจักรล้านนาตกเป็นประเทศราชของพม่าในปี พ.ศ. 2101
การล่มสลายของอาณาจักร
อาณาจักรล้านนาเริ่มเสื่อมลงในปลายรัชสมัย
"พญาแก้ว" เมื่อกองทัพเชียงใหม่ได้พ่ายแพ้แก่ทัพเชียงตุงในการทำสงครามขยายอาณาจักร
ไพร่พลในกำลังล้มตายลงเป็นจำนวนมาก
ประกอบกับปีนั้นเกิดอุทกภัยใหญ่หลวงขึ้นในเมืองเชียงใหม่ ทำให้บ้านเรือนราษฎรเสียหายและผู้คนเสียชีวิตลงเป็นจำนวนมาก
สภาพบ้านเมืองเริ่มอ่อนแอเกิดความไม่มั่นคง หลังจาก "พญาแก้ว"
สิ้นพระชนม์ก็เกิดการจลาจลแย่งชิงราชสมบัติ ระหว่างขุนนางมีอำนาจมากขึ้น ถึงกับแต่งตั้งหรือถอดถอนเจ้าได้
เมื่อนครเชียงใหม่ศูนย์กลางอำนาจเกิดสั่นคลอน เมืองขึ้นต่าง ๆ
ที่อยู่ในการปกครองของเชียงใหม่จึงแยกตัวเป็นอิสระ และไม่ส่งเครื่องราชบรรณาการอีกต่อไป
เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 1 พระเจ้าบุเรงนอง แห่งอาณาจักรตองอูได้ทำศึกมีชัยชนะไปทั่วทุกทิศานุทิศ
จนได้รับการขนานนามพระเจ้าผู้ชนะสิบทิศ
พระเจ้าบุเรงนองได้ทำศึกยึดครองนครเชียงใหม่ไปประเทศราชได้สำเร็จ
รวมทั้งได้เข้าได้ยึดเมืองลูกหลวงและเมืองบริเวณของเชียงใหม่ไปเป็นประเทศราชด้วย ในช่วงแรกนั้นทางพม่ายังไม่ได้เข้ามาปกครองเชียงใหม่โดยตรง
เนื่องจากยุ่งกับการศึกกับกรุงศรีอยุธยา แต่ยังคงให้ "พระเจ้าเมกุฎิ"
ทำการปกครองบ้านเมืองต่อตามเดิม แต่ทางเชียงใหม่จะต้องส่งเครื่องราชบรรณาการไปให้หงสาวดี ต่อมา "พระเจ้าเมกุฎิ" ทรงคิดที่จะตั้งตนเป็นอิสระ
ฝ่ายพม่าจึงปลดออกและแต่งตั้ง "มหาเทวีวิสุทธิ" เชื้อสายราชวงศ์มังราย ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจเป็นพระมารดาของพระเจ้าเมกุฏิ ขึ้นเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่แทน จนกระทั่งมหาเทวีวิสุทธิสิ้นพระชนม์ ทางฝ่ายพม่าจึงได้ส่งเจ้านายทางฝ่ายพม่ามาปกครองแทน
เพื่อคอยดูแลความเรียบร้อยของเมืองเชียงใหม่
ในสมัยนั้นเมืองเชียงใหม่เกือบจะเป็นเมืองพระยามหานครของพม่าแล้ว
อีกประการหนึ่งก็เพื่อที่จะเกณฑ์พลชาวเชียงใหม่
และเตรียมเสบียงอาหารเพื่อไปทำศึกสงครามกับทางกรุงศรีอยุธยา
อาณาจักรล้านนาในฐานะเมืองขึ้นของพม่าไม่ได้มีความสงบสุข
มีแต่การกบฏแก่งแย่งชิงอำนาจกันอยู่ตลอดเวลา
ไม่ใช่แต่เชียงใหม่อย่างเดียว แต่เมืองอื่น ๆ ในล้านนาก็ด้วย
จนกระทั่งราชวงศ์นยองยาน
สถาปนาอาณาจักรรัตนปุระอังวะอีกครั้งจึงหันมาปกครองเชียงใหม่โดยตรง
ศิลปะล้านา
ศิลปะล้านนา หรือ ศิลปะเชียงแสน มีลักษณะเก่าแก่มาก คาดว่ามีการสืบทอดต่อเนื่องของศิลปะทวาราวดี
และลพบุรี ในดินแดนแถบนี้มาตั้งแต่สมัยหริภุญชัยศูนย์กลางของศิลปะ ล้านนาเดิมอยู่ที่เชียงแสน เรียกว่าอาณาจักรโยนก ต่อมาเมื่อพญามังรายได้ย้ายมาสร้างเมืองเชียงใหม่ ศูนย์กลางของของอาณาจักรล้านนาอยู่ที่ เมืองเชียงใหม่
ประติมากรรม
ลักษณะสำคัญของพระพุทธรูป ศิลปะล้านนา
ซึ่งมักเรียกว่า แบบเชียงแสน คือ พระวรกายอวบอูม พระพักตร์อิ่ม ยิ้มสำรวม
กระเกตุมาลาเป็นรูปต่อมกลม และดอกบัวตูม ไม่มีไรพระศก พระศกเป็นแบบก้นหอย
พระขนงโก่งรับพระนาสิกงุ้มเล็กน้อย ชายสังฆาฏิสั้นเหนือพระถัน
พระอุระนูนดังราชสีห์ ท่านั่งขัดสมาธิเพชร
นาฏดุริยางคศิลป์
จะเห็นได้ว่าเมื่อมีงานบุญงานทานชาวล้านนามักมีการแสดงรื่นเริง
เนื่องด้วยความเชื่อต่าง ๆ ว่าเมื่อได้ร่วมแสดงในงานบุญ จะได้บุญกุศลอย่างมาก
เครื่องดนตรี
1. ซึง
2. สะล้อ
3. กลองเต่งถิ้ง
4. ขลุ่ย
5. ปี่จุม
6. กลองสะบัดชัย
7. กลองตึ่งโนง
8. ปี่แน
9. ตะหลดปด (มะหลดปด)
10. กลองปูจา (กลองบูชา หรือ ปู่จา)
11. วงกลองปูเจ่ (กลองปูเจ)
12. วงปี่ป๊าดก้อง (วงปี่พาทย์ล้านนา)
13. พิณเปี๊ยะ
การร้อง
การร้องแบบภาคเหนือแบ่งออกเป็น หลายอย่าง
โดยการร้องจะมีความหลากหลายของทำนองเพื่อไม่ให้ผู้ฟังเกิดการเบื่อหน่าย เช่น ทำนอง
ตั้งเชียงใหม่ อื่อ ล่องน่าน เชียงแสน เงี้ยวสิบชาติ ปั่นฝ้าย พม่า น่านก๋าย จะปุ
เป็นต้น โดยการร้องแบ่งออกได้ดังนี้
การฟ้อน
การฟ้อน
คือการแสดงของชาวเหนือโดยมีลีลาอ่อนช้อยงดงามการฟ้อนจะฟ้อนไปตามจังหวะของดนตรี
เครื่องดนตรีที่ใช้มักเป็นเครื่องดนตรีของพื้นเมืองเกือบทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นสะล้อ
ซึง กลองต่าง ๆ เป็นต้น ชาวอำเภอป่าแดดมักใช้ฟ้อนในงานสำคัญต่าง ๆ
เช่นงานบุญงานทาน งานฉลอง งานรื่นเริง โดยการฟ้อนอาจแบ่งเป็นฟ้อนผู้หญิง
ฟ้อนผู้ชาย
ป้จจุบันผู้หญิงอาจฟ้อนของผู้ชาย
ผู้ชายฟ้อนของผู่หญิงก็ได้ไม่ผิด โดยหลัก ๆ ฟ้อนแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ใหญ่ ๆ คือ
·
ฟ้อนบ่าเก่า(ฟ้อนโบราณ)
·
ฟ้อนประดิษฐ์ในพระราชสำนัก
·
ฟ้อนแบบเงี้ยว และ
·
ฟ้อนประยุค
โดยแยกได้ดังนี้
ฟ้อนบ่าเก่า (ฟ้อนโบราณ)
การฟ้อนแบบนี้หมายถึงการฟ้อนต่าง ๆ
ที่ตกทอดมาโดยไม่มีการปรับปรุง ซึ่งอาจมีอายุเท่ากับอาณาจักรล้านนา
หรืออาจเก่ากว่านั้นก็เป็นได้
แต่เราไม่อาจบอกได้ว่าได้ว่าเรียบร้อยด้วยท่าฟ้อนที่มีชื่อว่าอะไรบ้าง
เกิดขึ้นในสมัยใด มีลีลาท่าทางอย่างไร
เพระไม่เหลือไว้ให้ศึกษาค้นหารายละเอียดได้เลย
แต่พอจะสรุปวัตถุประสงค์ของการฟ้อนได้จากสาเหตุ 2 ประการ คือ
·
เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อและศรัทธาต่อสิ่งศักสิทธิ์ทั้งหลาย
เริ่มจาก "ผี" " จากนั้นพัฒนาไปหา "ศาสนาพุทธ"
ได้แก่ฟ้อนแห่ครัวทาน ทานข้าวใหม่ฯ
·
เพื่อความสนุกสนานบันเทิงในกลุ่มของตน
เช่น งานปีใหม่ (สงกรานต์) งานขึ้นบ้านใหม่ งานบวชลูกแก้ว ฯลฯ
ทั้งนี้ พอจำแนกการฟ้อนของล้านนาออกมาได้เป็น 7 กระบวนท่าฟ้อน ดังนี้
1.
ฟ้อนแห่ครัวทาน (อ่าน"ฟ้อนแห่คัวตาน")
2.
ฟ้อนผี
3.
ฟ้อนปั่นฝ้าย
4.
ฟ้อนแง้น
5.
ฟ้อนเจิง
6.
ฟ้อนดาบ
7.
ฟ้อนหอก
8.
ฟ้อนกลายลาย(ก๋ายลาย)
9.
ฟ้อนสาวไหม
ฟ้อนประดิษฐ์ในพระราชสำนัก
การฟ้อนแบบนี้หมายถึงการฟ้อนที่พระราชชายาเจ้าดารารัศมีทรงประดิษฐ์ขึ้น
หรือการฟ้อนที่ผู้ใกล้ชิดกับพระราชชายาฯ ได้ประดิษฐ์ ซึ่งพบว่ามี 9 กระบวนท่าฟ้อน คือ
1.
ฟ้อนเล็บ-ฟ้อนแห่ครัวทาน
2.
ฟ้อนเทียน
3.
ฟ้อนเงียว (แบบในวัง)
4.
ฟ้อนล่องน่าน(ฟ้อนน้อยไชยา)
5.
ฟ้อนกำเบ้อ
7.
ฟ้อนมูเซอ
ฟ้อนแบบเงี้ยว
หมายถึงการฟ้อนแบบไทใหญ่ พบว่ามีอยู่ 6 อย่าง คือ
6.
ฟ้อนก้าไต
ฟ้อนประยุค(ฟ้อนที่ประดิษฐ์ขึ้นในระยะหลัง)
เมื่อศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นเริ่มเป็นที่สนใจของคนทั่วไปแล้ว
ก็ได้มีผู้ประดิษฐ์การฟ้อนรำขึ้นมาอีกหลายแบบ โดยชาวอำเภอป่าแดดมักนำการฟ้อนประยุคนี้มาฟ้อนในงานแห่ครัวทาน
อาจจะรับอิทธิพลจาก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือบ้าง ภาคกลาง ภาคใต้ก็ดี
บ้างก็คิดเองขอเพียงมีจังหวะชาวอำเภอป่าแดดก็สามารถฟ้อนได้ในขบวนครัวทาน
เช่นการฟ้อนภูไท ฟ้อนชาวเขา เซิ้ง ฟ้อนประยุค เป็นต้น
ในที่นี้จะขอยกการฟ้อนประยุคที่มีความนิยมทั่วไปไม่เฉพาะอำเภอป่าแดดเท่านั้น
พบว่ามีหลายกระบวนท่าฟ้อนมาก ดังนี้
2.
ฟ้อนร่ม
4.
ฟ้อนยอง
5.
ฟ้อนศิลามณี
8.
ฟ้อนเชียงแสน
9.
ฟ้อนล่องน่าน
10.
ฟ้อนน่านนันทบุรี
11.
ฟ้อนวี(ฟ้อนพัด)
12.
ฟ้อนร่มฟ้าไท-ยวน(ฟ้อนร่มฟ้าล้านนา
หรือฟ้อนยวนสาวไหม)
14.
ฟ้อนขันส้มป่อย
อักษรธรรมล้านนา
อักษรธรรมล้านนา หรือ ตัวเมือง พัฒนามาจากอักษรมอญโบราณ เช่นเดียวกับอักษรพม่า อักษรชนิดนี้ใช้ในอาณาจักรล้านนาเมื่อราว พ.ศ. 1802 จนกระทั่งถูกพม่ายึดครองใน พ.ศ. 2101 ปัจจุบันใช้ในงานทางศาสนา
พบได้ทั่วไปในวัดทางภาคเหนือของประเทศไทย (ส่วนที่เป็นเขตอาณาจักรล้านนาเดิมและเขตที่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมล้านนาบางแห่ง)
นอกจากนี้ยังแพร่หลายถึงไปถึงเขตรัฐไทยใหญ่แถบเมืองเชียงตุง ซึ่งอักษรที่ใช้ในแถบนั้นจะเรียกชื่อว่า "อักษรไตเขิน"
มีลักษณะที่เรียบง่ายกว่าตัวเมืองที่ใช้ในแถบล้านนา
อนึ่ง อักษรธรรมล้านนายังได้แพร่หลายเข้าไปยังอาณาจักรล้านช้างเดิมผ่านความสัมพันธ์ทางการทูตและทางศาสนาระหว่างล้านนากับล้านช้างในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่
21 ร่วมสมัยกับพระเจ้าโพธิสารราชและพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชแห่งล้านช้าง
เป็นต้นเค้าของการวิวัฒนาการของแบบอักษรที่เรียกว่าอักษรธรรมลาว (หรือที่เรียกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยว่า
"อักษรธรรมอีสาน") ในเวลาต่อมา
พยัญชนะ
อักษรธรรมล้านนาจัดตามกลุ่มพยัญชนะวรรคตามพยัญชนะภาษาบาลี
แบ่งออกเป็น 5 วรรค วรรคละ 5 ตัว เรียกว่า“พยัญชนะวรรค”หรือ“พยัญชนะในวรรค”อีก 8 ตัวไม่จัดอยู่ในวรรคเรียกว่า“พยัญชนะอวรรค”หรือ“พยัญชนะนอกวรรค”หรือ“พยัญชนะเศษวรรค”ส่วนการอ่านออกเสียงเรียกพยัญชนะทั้งหมดนั้น
จะเรียกว่า“ตั๋ว”เช่น ตั๋ว กะ/ก/ ตั๋ว
ขะ/ข/ ตั๋ว จะ/จ/ เป็นต้น
พยัญชนะปกติ
อักษรไทยที่ปรากฏเป็นการถ่ายอักษรเท่านั้น
เสียงจริงของอักษรแสดงไว้ในสัทอักษรสากล ซึ่งอาจจะออกเสียงต่างไปจากอักษรไทย
|
|
พยัญชนะซ้อน(พยัญชนะหาง)
พยัญชนะซ้อน
(ตัวซ้อน)
เป็นพยัญชนะที่ใส่ไว้ใต้พยัญชนะตัวอื่นเพื่อทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้ คือ 1. เพื่อห้ามไม่ให้พยัญชนะที่ไปซ้อน (ตัวข่ม) ออกเสียงสระอะ หรือ 2. เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวสะกด
ซึ่งพยัญชนะที่ล้านนารับมาจากภาษาอื่นตั้งแต่แรกจะมีรูปพยัญชนะซ้อนทุกตัว ยกเว้น กับ เท่านั้นที่ไม่มี
พยัญชนะที่มีรูปพยัญชนะซ้อนมีดังต่อไปนี้
พยัญชนะนอกเหนือจากนี้ ซึ่งได้แก่ เป็นพยัญชนะที่ล้านนาประดิษฐ์ขึ้นมาเอง ดังนั้นจึงไม่มีรูปพยัญชนะซ้อน
แต่อย่างไรก็ตามเพื่อให้สามารถเขียนคำที่มาจากภาษาต่างประเทศได้ใกล้เคียงกับภาษาเดิมมากที่สุด
จึงสมควรมีการประดิษฐ์รูปพยัญชนะซ้อนของ และ ขึ้นมาเพิ่มเติม
สระ
สระสระจมเป็นสระที่ไม่สามารถออกเสียงได้ด้วยตัวเอง ต้องนำไปผสมกับพยัญชนะก่อนจึงจะสามารถออกเสียงได้
ลอย
เป็นสระที่มาจากภาษาบาลี
สามารถออกเสียงได้ด้วยตัวเองไม่จำเป็นต้องนำไปผสมกับพยัญชนะก่อน
แต่บางครั้งก็มีการนำไปผสมกับพยัญชนะหรือสระแท้ เช่น คำว่า "เอา" สามารถเขียนได้โดเขียนสระจากภาษาบาลี
'อู' ตามด้วย สระแท้ 'า' คือ
วรรณยุกต์
เนื่องจากล้านนาได้นำเอาระบบอักขรวิธีของมอญมาใช้โดยแทบจะไม่มีการปรับเปลี่ยนเลย
และภาษามอญเองก็เป็นภาษาที่ไม่มีวรรณยุกต์
ดังนั้นในอดีตจึงไม่ปรากฏว่ามีการใช้เครื่องหมายวรรณยุกต์ในการเขียนอักษรธรรมล้านนาเลย
(เคยมีการถกเถียงกันเรื่องชื่อของล้านนาว่าจริงๆแล้วชื่อ "ล้านนา" หรือ
"ลานนา" กันแน่ แต่ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่า "ล้านนา")
จนกระทั่งในระยะหลังเมื่ออิทธิพลของสยามแผ่เข้าไปในล้านนาจึงปรากฏการใช้รูปวรรณยุกต์ในการเขียนอักษรธรรมล้านนา
ภาษาล้านนาสามารถผันได้ 6 เสียง
(จริงๆแล้วมีทั้งหมด 7 หรือ 8 เสียง
แต่ในแต่ละท้องถิ่นจะใช้เพียง 6 เสียงเท่านั้น)
การผันจะใช้การจับคู่กันระหว่างอักษรสูงกับอักษรต่ำจึงทำให้ต้องใช้วรรณยุกต์เพียง 2
รูปเท่านั้น คือ เอก กับ
โท (เทียบภาษาไทยกลาง) เช่น
การที่มีรูปวรรณยุกต์เพียง 2 รูปนี้ทำให้เกิดปัญหากับอักษรกลาง คือ ไม่สามารถแทนเสียงได้ครบทั้ง 6 เสียง ดังนั้นจึงอาจอนุโลมให้แต่ละรูปศัพท์แทนการออกเสียงได้ 2 เสียง
การที่มีรูปวรรณยุกต์เพียง 2 รูปนี้ทำให้เกิดปัญหากับอักษรกลาง คือ ไม่สามารถแทนเสียงได้ครบทั้ง 6 เสียง ดังนั้นจึงอาจอนุโลมให้แต่ละรูปศัพท์แทนการออกเสียงได้ 2 เสียง
เสียงวรรณยุกต์สำเนียงเชียงใหม่มี 6 เสียง คือ เสียงจัตวา, เสียงเอก,
เสียงโทพิเศษ, เสียงสามัญ, เสียงโท, และเสียงตรี
เสียงวรรณยุกต์
|
ตัวอย่าง
|
การถอดรหัสเสียง
|
การออกเสียง
|
ความหมายในภาษาไทย
|
เสียงจัตวา
|
ขา
|
/xǎː/
|
[xaː˩˦]
|
ขา
|
เสียงเอก
|
ข่า
|
/xàː/
|
[xaː˨˨]
|
ข่า
|
เสียงโทพิเศษ
|
ฃ้า
|
/xa̋ː/
|
[xaː˥˧]
|
ฆ่า
|
เสียงสามัญ
|
ฅา
|
/xaː/
|
[xaː˦˦]
|
หญ้าคา
|
เสียงโท
|
ไฮ่
|
/hâjː/
|
[hajː˦˩]
|
ไร่
|
เสียงตรี
|
ฟ้า
|
/fáː/
|
[faː˦˥˦]
|
ฟ้า
|
การแสดงเสียงวรรณยุกต์
การแสดงเสียงวรรณยุกต์ของคำเมืองสำเนียงเชียงใหม่
เสียงวรรณยุกต์
|
คำเป็น สระยาว
|
คำเป็น สระยาว ไม้เอก
|
คำเป็น สระยาว ไม้โท
|
คำตาย สระสั้น
|
คำตาย สระยาว
|
อักษรสูง
|
เสียงจัตวา
|
เสียงเอก
|
เสียงโทพิเศษ
|
เสียงจัตวา
|
เสียงเอก
|
อักษรกลาง
|
เสียงสามัญ
|
เสียงเอก
|
เสียงโทพิเศษ
|
เสียงจัตวา
|
เสียงเอก
|
อักษรต่ำ
|
เสียงสามัญ
|
เสียงโท
|
เสียงตรี
|
เสียงตรี
|
เสียงโท
|
No comments:
Post a Comment