เวลา
สำรวจใจ
เมื่อเราพูดถึงเวลาสำหรับชีวิตของเรา มีสิ่งหนึ่งที่มองข้ามไปไม่ได้ ก็คือ เรามีเวลาจำกัดเวลาที่เรามีนั้นมันมาและจากไป ไม่มีการหวนกลับ ไม่ว่าเราจะเป็นใคร เราต่างก็มีเวลาเท่ากัน เพราะพระเจ้าทรงกำหนดวันเดือนปี และประทานเวลาให้แก่เราแต่ละคนเท่ากันหมด
คิดถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดที่คุณได้ทำหรือจะทำในวันนี้ถ้าให้สิ่งนี้อยู่เคียงข้างกับสรรพสิ่งในโลกนี้ที่พระเจ้าได้ทรงสร้างมันทำให้คุณรู้สึกอย่างไร?
สำรวจพระธรรม
โมเสสเป็นผู้เขียนพระธรรมสดุดีบทนี้เราเห็นภาพโมเสสอธิษฐาน และนั่งจดบันทึกสดุดีบทนี้โดยเขาได้นำประสบการณ์ต่างๆที่ผ่านพบและสิ่งต่างๆที่เขาได้เห็นมาใส่ไว้ในคำบันทึกของเขานี้สดุดีบทนี้พูดถึงพระเจ้าและชายที่อยู่ตรงกันข้ามกับพระองค์
โมเสสได้บรรยายถึงพระเจ้าว่าทรงเป็น”ที่อาศัย”นิรันดร์(ข.1) เป็นภาพที่แสดงถึงความปลอดภัย เป็นบ้าน เป็นที่ๆเราอาศัยได้พระเจ้าทรงเป็นองค์นิรันดร์ที่มั่นคงถาวรเป็นนิตย์(ข.1,2)มันช่างตรงกันข้ามกับความรู้สึกของโมเสสที่มีต่อชีวิตที่มีอยู่ของเขาพี่น้องเราไม่ต่างอะไรกับโมเสส เราเป็นผงคลีดินและชีวิตของเราเป็นเหมือนละอองเล็กๆอยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลที่พระเจ้าได้ทรงสร้าง(ข.4-6) สำหรับโมเสสแล้ว เขารู้สึกว่าชีวิตนั้นต้องต่อสู้ดิ้นรนมากกว่าความชื่นชมยินดีเหมือนกับว่าพระเจ้าทรงพิโรธโกรธเขาอย่างนั้นแหละ(ข.7-11) แต่โมเสสรู้ว่าการกระทำของพระเจ้านั้นแท้จริงแล้วก็เพื่อจะนำมาซึ่งปัญญาหากบุตรทั้งหลายของพระองค์ไม่ปล่อยให้วันเวลาล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์และไม่มัวหลงทางอยู่(ข.12)โมเสสรู้ว่าในขณะที่ชีวิตเต็มไปด้วยความกระเสือกกระสนดิ้นรน “ที่อาศัย”ในพระเจ้าเท่านั้นจะเป็นที่ๆเราจะได้พักสงบ(ข.17)
การเปรียบเทียบระหว่างพระเจ้าผู้เลิศประเสริฐกับสภาพที่อ่อนล้าของเราย่อมช่วยเราให้เห็นโลกทัศน์ที่กว้างขึ้นหากปราศจากพระเจ้าแล้ว เราก็ไม่มีความหมายแต่อย่างใดวันเวลาของเราทั้งหลายบนโลกนี้ ก็จะผ่านเลยไปอย่างไร้ความหมาย
สดุดี บทที่ 90 นั้น เป็นคำอธิษฐานของโมเสส คนของพระเจ้า โมเสสได้นำชนชาติอิสราเอลออกจากประเทศอียิปต์ ข้ามทะเลแดง และเดินเตร่ในถิ่นทุรกันดาร ประมาณ 40ปีแล้ว คนที่ออกมาจากประเทศอียิปต์นั้น ส่วนใหญ่ได้ล้มหายตายจากไปหมดแล้ว คนรุ่นใหม่กำลังเดินทางไปสู่แผ่นดินคานาอัน โมเสสได้อธิษฐานเผื่อคนอิสราเอลรุ่นใหม่นี้ ในคำอธิษฐานของท่าน โมเสสได้สรรเสริญเรื่องสภาวนิรันดร์ของพระเจ้า ว่า “พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาล” และท่านได้เปรียบเทียบชีวิตของมนุษย์ที่อนิจจัง
เวลามีจำกัด
ชีวิตของมนุษย์ไม่ยั่งยืนยาวนาน โมเสสได้บอกในข้อ 10 ว่า “กำหนดปีของข้าพระองค์ คือเจ็ดสิบ หรือสุดแต่เรื่องกำลัง ก็ถึงแปดสิบ” ไม่มีใครอยู่ได้ถึงพันๆปี เหมือนในหนัง หรือนิทาน ในสมัยโมเสสคนส่วนใหญ่อายุก็จะพอ ๆ กับสมัยเรา คือ 70-80 พระคัมภีร์กล่าวว่า “มีข้อกำหนดสำหรับมนุษย์ไว้แล้วว่า จะตายครั้งเดียว และหลังจากนั้นก็จะมีการพิพากษา” (ฮีบรู 9.27) เราควรบริหารเวลาของเราอย่างมีปัญญา เพราะอีกไม่นานเราทุกคนต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน นี่เป็นข้อกำหนดสำหรับเรา
เวลาผ่านแล้วผ่านเลย
สาเหตุอีกประการหนึ่งที่เราควรใช้เวลาอย่างมีปัญญา ก็คือ เวลาที่เรามีอยู่นั้นผ่านไปเรื่อยๆ ไม่หยุด และผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก เราได้ต้อนรับปีใหม่ไป แต่เดือนหนึ่งกำลังจะผ่านไป มันไวมากจนจับไม่ทัน ดังสำนวนฝรั่งที่ว่า You can’t step on the same water twice, because the flow that has passed will never pass you again.โดย เฉพาะยุคนี้ ที่เรียกกันว่า เป็นยุคข้อมูล หรือยุคอินเตอร์เน็ต ดูเหมือนเวลาแทบกลายเป็นเงินเป็นทองเสียจริง ๆ ผู้คนจำนวนมากต้องเดิน ต้องวิ่ง ต้อง พูด ทำทุกอย่างแบบไวไปหมด ทั้งการกินก็ต้องกินอย่างรวดเร็ว บางทีกินยังไม่ทันเสร็จก็ต้องขอตัวละจากไปแล้วเราทั้งหลายคงเห็นแล้วว่าวันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วว่องไว ในสดุดี 90.4 กล่าวว่า “เพราะ1000 ปีในสายพระเนตรของพระองค์เป็นเหมือนวานนี้ซึ่งผ่านไปแล้ว หรือเหมือนยามเดียวในกลางคืน” ข้อ 10 ตอนท้ายบอกว่า “ไม่ช้าก็สูญไปและข้าพระองค์ก็จากไป” ข้อนี้น่าจะแปลได้อีกอย่างว่า “เพราะกำหนดปีของข้าพระ องค์ผ่านไปอย่างรวดเร็วและข้าพระองค์ทั้งหลายก็บินจากไป”เพราะเหตุนี้ เราควรใช้เวลาอย่างมีปัญญา
ถ้าเราจะบริหารเวลาอย่างมีปัญญา เราอย่าลืมว่าเวลานั้นมี3 วาระด้วยกันคือ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เราควรมีมุมมองที่ถูกต้องต่อเวลาของเราทั้ง อดีต ปัจจุบันและอนาคต
1. มองย้อนไปในอดีต อย่าติด อย่าลืม แต่จงขอบพระคุณ
อย่ายึดติด
ไม่ควรติดกับอดีต โรคร้ายชนิดหนึ่งที่มนุษย์เราติดง่ายๆ ก็คือโรคอดีต การยึดติดอดีตทำให้เรามีมุมมองที่ผิด ๆ ทำให้เราเห็นอะไรก็แย่ไปหมด ทำให้หดหู่ใจ ท้อใจ โทษตัวเอง ว่า “ฉันไม่น่าจะเป็นแบบนี้ หรือแบบนั้นเลย” เสร็จแล้วเราก็โทษคนอื่นต่อ เหมือนคนอิสราเอลที่บ่นว่าโมเสสที่เป็นผู้นำเขา เมื่ออยู่ในอียิปต์ยังดีกว่า ถึงแม้ไม่มีอิสระและต้องทำงานหนักก็ตาม ยังมีน้ำและมีเนื้อกินใจและสายตาของเขาเหล่านั้นไม่ได้มองไปสู่ข้างหน้า แต่หาโอกาสที่จะหันกลับไปสู่อดีต พระคัมภีร์บอกว่า “อย่าว่า อะไรหนอเป็นเหตุให้กาลก่อนดีกว่ากาลบัดนี้ เพราะที่เจ้าไต่ถามนั้นไม่ได้ถามด้วยสติปัญญา” (ปัญญาจารย์ 7.10)
การยึดติดกับอดีตมักจะนำมาซึ่งการภูมิใจผิด ๆ กับอดีต และละเลยที่จะรับผิดชอบอย่างดีต่อปัจจุบันเช่น เมื่อก่อนนั้นฉัน ร้อนรน รับใช้ ไปนมัสการ เปิดบ้านอธิษฐาน ประกาศ เป็นพยาน อ่านพระคัมภีรทุกวัน ๆละ 10บท เคยทำอย่างนั้น อย่างโน้น แต่ในช่วงนี้ยุ่งมาก ไม่ค่อยมีเวลาที่จะอ่านมันเลย ความภูมิใจต่ออดีตเช่นนี้ ไม่มีประโยชน์อะไรต่อชีวิตคริสเตียนในปัจจุบันของเราเลย ชีวิตฝ่ายร่างกายของเรานั้นอยู่ได้ด้วยปัจจัย 5อากาศ ยา อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ในทำนองเดียวกัน การเติบโตในชีวิตคริสเตียนนั้น ทุก ๆ วัน ต้องมีการบำรุงเลี้ยงดู ถ้าหาไม่ เราทั้งหลายก็จะกลายเป็น คริสเตียนทารก เชื่อกี่ปีก็ไม่โต คริสเตียนที่ขาดสารอาหาร คริสเตียนที่เจ็ปป่วยฝ่ายจิตใจ จิตวิญญาณ พิกล พิการ ในที่สุดก็กลายเป็นคริสเตียนที่หลงหายอยู่ในโบสถ์ หรือคริสเตียนที่หลงหายไป อดีตเป็นเวลาที่ผ่านพ้นไปแล้ว
อย่าลืมอดีตที่เป็นบทเรียนอันมีค่าสำหรับชีวิตของเราในปัจจุบัน โมเสสได้เตือนและหนุนใจคนรุ่นใหม่ว่า “จงระลึกถึงโบราณกาล จงตรองถึงจำนวนปีที่ผ่านมาหลายชั่วอายุคนแล้วนั้น จงถามบิดาของท่านแล้วเขาจะสำแดงให้ท่านทราบ จงถามพวกผู้ใหญ่ของท่านแล้วเขาจะบอกท่าน...”(ฉธบ. 32.7)
เปาโลได้ทบทวนประวัติของคนอิสราเอล ท่านกล่าวว่า “เหตุการณ์เหล่านี้ได้บังเกิดแก่เขาเพื่อเป็นตัวอย่าง และได้บันทึกไว้เพื่อเตือนสติเราทั้งหลาย” อดีตเป็นเครื่องเตือนใจ ไม่ให้ลูกหลานต้องซ้ำรอยประวัติศาสตร์ที่ชอกช้ำ เราเรียนวิชาประวัติศาสตร์ก็เพื่อจะได้ไม่ต้องมีแบบเรียนประวัติศาสตร์แง่ลบ เพิ่มขึ้นอีกเล่ม
จงขอบพระคุณพระเจ้า เมื่อคิดถึงอดีต บางทีอาจจะมีบาดแผล บางทีอาจจะชื่นใจ ถึงแม้ว่า อดีตของเราจะเป็นอย่างไรก็ตาม เราเป็นอยู่อย่างที่เป็นอยู่ในวันนี้ได้ ก็โดยพระคุณของพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ของเรา เราจึงควรขอบพระคุณพระเจ้า โดยพระคุณพระเจ้า เราได้รู้จักพระเยซูคริสต์ มีชีวิตใหม่ในวันนี้มีมุมมองใหม่ความหวังใหม่ความฝันใหม่ในพระองค์
2. มองไปในอนาคตยินดีให้และฝัน (นิมิต)
ยินดี เวลาพรุ่งนี้นั้นเป็นเวลาที่ยังไม่มา ยังไม่ได้เป็นเวลาของเรา หลายครั้งเรากระวนกระวายในสิ่งต่างๆ ซึ่งยังไม่เกิดขึ้น ยังไม่แน่ใจว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ และสิ่งที่กำลังกระวนกระวายนั้น จริงๆแล้ว ไม่ต้องกระวนกระวายก็ได้ เพราะอาจไม่เกิดขึ้นตามที่เราคิด
พี่น้องปี 2010ของท่านผ่านไปด้วยเสียงถอนหายใจหรือว่าผ่านไปด้วยความชื่นชมยินดี ? ดังคำกล่าวของโมเสสที่ว่า “วันทั้งปวงของข้าพระองค์ทั้งหลายสิ้นไปใต้พระพิโรธของพระองค์กำหนดปีของข้าพระองค์สิ้นสุดลงอย่างเสียงถอนหายใจ” สดด.90:9
พระเยซูทรงตรัสว่า “เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว” (มัทธิว 6.34)สดุดี 90 ข้อ14“ขอทรงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายอิ่มในเวลาเช้าด้วยความเมตตาของพระองค์เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะได้เปรมปรีดิ์และยินดีตลอดวันเวลาของข้าพระองค์ข้อ 15 “ขอทรงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายยินดีให้มากวันเท่ากับที่พระองค์ได้ทรงให้ข้าพระองค์ทุกข์ยากนั้นและให้มากปีเท่ากับที่ข้าพระองค์ได้ประสบการร้าย”
ให้เรายินดีในพระองค์
ตัวอย่างพระธรรมยากอบ 4:13-16…. ฟังให้ดีนะ ท่านทั้งหลายที่พูดว่า พรุ่งนี้จะไปเมืองนั้น และอยู่ที่นั้นสักหนึ่งปี ค้าขายได้กำไร………. แต่ท่านไม่รู้เรื่องพรุ่งนี้….ถ้าพระเจ้าทรงโปรด เราจะยังมีชีวิตอยู่ และจะทำสิ่งนี้สิ่งนั้น
จงมอบแผนงานให้พระเจ้า
ชีวิตของเขาในวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร เราจึงควรตระหนักถึงวันเวลาดังคำกล่าวของโมเสสที่ว่า “ขอทรงสอนข้าพระองค์ทั้งหลายให้นับวันของตน เพื่อข้าพระองค์จะมีใจสติปัญญา” สดด. 90:12
ตัวอย่าง ให้นับวัน สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ก็เหลืออีก 1,1666วันในโลก
พระคัมภีร์กล่าวว่ามนุษย์กะแผนงานแต่ผู้ที่ทำให้เป็นไปตามนั้น คือพระเจ้า ปีใหม่นี้ขอให้เรายอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเรา แล้วพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเราราบรื่น (สภษ. 3.6) พระคัมภีร์ยังย้ำต่อไปว่า “จงมอบงานของเจ้าไว้กับพระเจ้า และแผนงานของเจ้าจะได้รับการสถาปนาไว้”(สุภาษิต 16.3)
จงมีนิมิต
“ที่ใดๆ ที่ไม่มีการเผยธรรม ประชาชนก็ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจเสีย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติจะเป็นสุข” (สุภาษิต 29.18) คำว่า การเผยธรรม =นิมิต นิมิต=ความหวัง ความฝันในอนาคต ฉะนั้น ชนชาติที่ไม่มีนิมิตที่มาจากพระเจ้า ก็ไร้ความหวัง เราจึงควรดำเนินชีวิตด้วยนิมิต และควรทำให้คนอื่นมีนิมิตด้วย
ตัวอย่าง เมื่อประเทศเยอรมันปกครองประเทศโปแลนด์ คนชราคนหนึ่งได้จัดโต๊ะขายของที่ตลาดคนยิว แล้วร้องตะโกนด้วยเสียงดังว่า “เชิญมาดู กำลังขายของที่มีค่าสูง สุดในโลก” คนมากมายที่เดินผ่านตรงนั้น ชะเง้อมองดู แต่ไม่เห็นมีอะไรบนโต๊ะนั้นเลย มีคนหนึ่งจึงถามชายชรานั้นว่า “คุณลุงครับ คุณลุงบอกว่า ขายของที่มีค่าสูงสุดในโลกลุงขายอะไรครับ” ชายชรากระซิบที่ข้างหูเขาว่า “น้องเอ๋ย ขายความหวัง ถ้าชนชาติของเราสูญสิ้นความหวังนี้แล้ว อนาคตของเราจะเป็นอย่างไร ให้เรามายึดมั่นในพระเจ้าแห่งความหวัง พระเจ้าแห่งความฝันของเรากันเถอะ” ถึงแม้ว่าชนชาติอิสราเอลจะเป็นชนชาติเล็กมากมีศัตรูอยู่รอบด้านตกอยู่ในความยากลำบากหนักหนาสาหัสครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พวกเขายังยึดมั่นในนิมิตความฝันที่พระเจ้าทรงประทานให้ พวกเขาจึงสามารถลุกขึ้นได้ครั้งแล้วครั้งเล่า และสามารถยืนหยัดมาจวบจนทุกวันนี้
3. มองปัจจุบัน ซื้อ (ฉวย)โอกาส และขาย (ปล่อย)โอกาส
“จงฉวยโอกาส เพราะว่าทุกวันนี้ เป็นกาลที่ชั่ว” (เอเฟซัส 5.16) คำว่า ฉวยโอกาส หมายถึง ซื้อโอกาสโดยจ่ายเงิน เปาโลหนุนใจให้เราซื้อเวลา พูดอีกนัยหนึ่งว่า ใช้ทุกเวลาของเราให้ถูกต้อง พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “เพราะฉะนั้นคนที่รู้ว่าอะไรเป็นความดี ที่ต้องทำแต่ไม่ได้ทำ คนนั้นจึงมีบาป”ยก.4:17
ซื้อ (ฉวย)โอกาสเพื่ออะไร ?
ทำสิ่งที่ถูกต้อง ดีเยี่ยมในสายพระเนตรของพระเจ้า เช่น
1) นมัสการพระเจ้า เพราะพระเจ้าแสวงหา คนที่นมัสการพระองค์ด้วยจิตวิญญาณและความจริง(ยน. 4:23-24)
2) อิ่มด้วยความรักมั่นคง สดด. 90: 14เพราะความรักของพระเจ้าไม่มีวันสูญสิ้น เราจึงต้องรักพระเจ้าสุดใจ และรักคนอื่น=ตนเอง
“เพราะธรรมบัญญัติหรือพระคัมภีร์ทั้งสิ้นนั้น สรุปได้เป็นคำเดียว คือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” (กท 5:14)
3) ช่วยดวงวิญญาณที่หลงหายให้รอด เพราะดวงวิญญาณนั้นมีค่าที่สุด ดังเช่นในมัทธิว 18 ที่กล่าวถึงเรื่องที่พระเยซูเรียกเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งมายืนท่ามกลางสาวก สอนพวกเขาเรื่องถ่อมใจ ถ้าเขาไม่รับเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งในนามพระเยซู พระองค์ก็ไม่รับเขาเหมือนกัน ทำไมต้องช่วยดวงวิญญาณให้รอด“อย่างนั้นแหละพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ไม่ทรงปรารถนาให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่งพินาศไปเลย[มัทธิว18:14]”
ตัวอย่าง ปี 2009 ว่าจะไปเยี่ยมคุณพ่อของฟามฮิ้น
วันที่ 22 ตุลาคม 2010 กะว่าจะลงพิษณุโลกเยี่ยมไหนเฟย แต่ข้าพเจ้าช้าเกินเพราะคืนที่ 21 เขา
ได้จากไปเสียแล้ว
ซื้อ (ฉวย)โอกาสได้อย่างไร ?
1) ลำดับความสำคัญก่อนหลัง ควรทำสิ่งสำคัญก่อนทำสิ่งเร่งด่วน
2) ตัดสินใจและลงมือทำทันที
อย่าขายเวลา คือเลื่อนเวลาออกไป อย่าคิดว่าไว้มีเวลาว่างก่อนเพราะเราคงจะไม่มีโอกาสที่จะทำมันอีกเลย เวลาผ่าน ทุกสิ่งเปลี่ยน, ความตั้งใจ การตัดสินใจก็เปลี่ยนตาม
3) ใช้เศษเวลาที่เหลืออยู่อย่างมีปัญญา
4) ขยัน ความเกียจคล้านเป็นศัตรูยักษ์ต่อชีวิตคริสเตียน
เราทุกคนมีเวลาเท่ากัน , แต่ 1วินาทีของแต่ละคนอาจจะต่างกัน
ตัวอย่าง เสือกินเหยื่อกับกระต่ายกินหญ้าภาพของทั้งสองเหมือนกันมั้ย สำหรับเสือและสำหรับกระต่ายนั้น 1วินาทีเท่ากัน แต่คุณภาพไม่เหมือนกัน
ขาย (ปล่อย)โอกาส
สิ่งที่ผิดต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า พระองค์รับไม่ได้จงขายหรือปล่อยโอกาสนั้นไปแม้ในสายตาเราจะเห็นว่าดี เรามีสิทธิ์มีโอกาสที่จะเป็นที่จะได้มันมาก็ตาม หรือคนทั้งหลายเห็นว่าดี น่ายกย่อง ใคร ๆเขาก็เป็น มี และทำกัน ไม่เห็นเป็นไร แต่พระเจ้ามองเห็นอย่างไร พระเยซูตรัสว่า”วิบัติแก่โลกนี้ที่ทำให้มีการหลงผิดและพูดถึงให้ทำลายอวัยวะที่ทำให้หลงผิดเท้าผิดตัดทิ้งมือผิดตัดทิ้งตาผิดควักทิ้ง (มท. 18:6-9)
สรุป
มีอะไรที่เกิดขึ้นกับท่านอยู่เวลานี้ที่ทำให้ท่านรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นผงคลีดิน? ก่อนที่ท่านจะก้าวต่อไปในปีนี้ให้ท่านขอบคุณพระเจ้าสำหรับการสถิตอยู่ของพระองค์อันเป็นที่อาศัยของท่านจงนำสถานการณ์ที่ท่านได้เผชิญมา กำลังเผชิญอยู่และที่ท่านจะต้องเผชิญกับมันต่อไปมาทูลต่อพระองค์และจงเชื่อวางใจในฤทธานุภาพสูงสุดของพระองค์
พระเจ้าทรงประทานเวลาแก่เราเท่ากันแต่คนที่บริหารเวลาอย่างมีปัญญาด้วยความยำเกรงพระเจ้า และอย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้นจะป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
เราไม่ใช่เป็นเจ้าของเวลา แต่เป็นผู้รับมอบฉันทะภาระ เจ้าของเวลา คือพระเยซูคริสต์ “พระเยซูคริสต์ยังทรงเหมือนเดิมในเวลาวานนี้ และเวลาวันนี้ และสืบๆไปเป็นนิจกาล” (ฮีบรู 13.8) ให้เราใช้เวลาตามน้ำพระทัยของพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของกาลเวลา
No comments:
Post a Comment