Thursday, July 14, 2011

พระเจ้าทรงสร้างความชั่วร้ายหรือ ?



พระเจ้าทรงสร้างความชั่วร้ายหรือ ?
เรากำหนดความสว่างและสร้างความมืด เรานำความเจริญและสร้าง ความชั่วร้าย   อสย. 45:7


คำนำ
ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงเมตตาให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมอิสยาห์อีกครั้งหนึ่ง  ซึ่งเป็นพระธรรมที่น่าศึกษายิ่งเล่มหนึ่ง  เป็นพระธรรมที่เข้ากับบริบทของทุกยุคทุกสมัย  ข้าพเจ้าได้รับพระพรอย่างมากมายในการทำรายงานชิ้นนี้  แม้ว่ารายงานนี้อาจจะมีข้อบกพร่องอยู่บ้างก็ตาม  แต่แหล่งที่มาของข้อมูลสำหรับทำรายงานนี้เป็นที่เชื่อถือได้อย่างยิ่ง  โดยเฉพาะพระคริสตธรรมคัมภีร์ และคู่มืออธิบายพระคัมภีร์ที่ข้าพเจ้าได้ศึกษาดูนั้นเป็นแหล่งสำคัญยิ่ง  ซึ่งผู้อ่านสามารถศึกษาเพิ่มเติมดู และเชื่อว่าจะได้รับพระพรเพิ่มเติมยิ่งขึ้น
แนวทางของรายงานนี้มุ่งเน้นข้อมูลต่าง ๆ จากแหล่งสำคัญที่กล่าวมาแล้วนั้นเป็นหลัก  และข้อมูลทั่ว ๆ ไปเป็นส่วนเสริม  เนื้อหารายงานพยาาม



บทนำ
 ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ได้  ทำไมพระเจ้าจึงยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้ได้!”   คำถามลักษณะนี้เกิดขึ้นมากมายเมื่อมีโศกนาฏกรรมจากภัยพิบัติต่าง ๆ เช่น ปี1931ในประเทศจีนเกิดน้ำท่วมใหญ่จากแม่น้ำแยงซีเกียงทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ  3,700,000 คน[1] การติดตามข้อมูลจากสำนักงานเลขาธิการยุทธศาสตร์นานาชาติเพื่อการบรรเทาภัยพิบัติแห่งสหประชาชาติ (UN/ISDR ) เราได้เห็นถึงสถิติของการสูญเสียอันมหาศาล ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ต่อชีวิตของผู้คน และทรัพยากรธรรมชาติตั้งแต่อดีตมาจนถึง ณ วันนี้   มนุษย์เรามักต้องการคำตอบที่มีความหมายทางจิตใจ มากกว่าคำอธิบายในรูปแบบวิทยาศาสตร์ เช่น พวกนักธรณีวิทยาสายวิวัฒนาการเชื่อว่า ภัยพิบัติทางธรรมชาตินั้นเกิดจาก การค่อยเป็นค่อยไป เมื่อถึงจุดหนึ่งก็มีการตกตะกอนอย่างรวดเร็วในสัดส่วนขนาดใหญ่ นั่นคือภัยพิบัติ[2]  คำอธิบายนี้แม้จะถูกต้องทางวิชาการ   แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะเยียวยาความทุกข์ของผู้สูญเสียได้   เพราะหลักเหตุผลแบบวิทยาศาสตร์นั้นตอบเฉพาะคำถามที่ว่า อย่างไร   โดยไม่สนใจที่จะตอบคำถามว่า ทำไม  ที่เป็นเช่นนี้ เพราะลึกลงไปแล้วมนุษย์เชื่อว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นน่าจะต้องมีเหตุผลไม่ลักษณะใดก็ลักษณะหนึ่ง 
ปัญหาการดำรงอยู่ของภัยพิบัติ ความทุกข์ ความชั่วร้าย และความไม่เป็นธรรมเหล่านี้  เป็นโจทย์เก่าแก่ที่ทุกๆ ศาสนาก็ได้พยายามให้คำตอบแก่มนุษย์เช่นเดียวกับทางวิทยาศาสตร์  เช่น ทางเทววิทยาซึ่งวนเวียนให้มนุษย์หาทางอธิบายด้วยทฤษฎีต่างๆ มาแต่อดีต   จนถึงกับมีการบัญญัติศัพท์ทางวิชาการที่นักปรัชญาศาสนาและเทววิทยาใช้เรียกโจทย์นี้ว่า Theodicy” [3]  นักคิดทางสังคมศาสตร์ได้ศึกษาเปรียบเทียบปรัชญาศาสนาต่างๆ  และได้แสดงให้เห็นว่า ศาสนาต่างๆ  ตอบคำถามเรื่องการดำรงอยู่ของภัยพิบัติ ความชั่วร้าย ความทุกข์  และความอยุติธรรมไว้ไม่เหมือนกัน   เช่น พิจารณาจากศาสนาฮินดู หรือลัทธิพราหมณ์ซึ่งถือว่ามีพระเจ้าหรือเทพมากมายที่ทำหน้าที่แตกต่างกัน   เทพที่สำคัญคือ พระพรหม ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งการทรงสร้าง   พระวิษณุหรือเทพเจ้าแห่งการบำรุงรักษา  และพระศิวะผู้เป็นเทพเจ้าแห่งการทรงทำลายล้าง เป็นต้น   สรรพสัตว์สรรพสิ่งจึงถูกสร้างขึ้นและได้รับการบำรุงรักษา   หรือบาง ครั้งก็ถูกทำลายลง   เพื่อที่จะสร้างขึ้นใหม่เป็นวัฏจักรเช่นนี้เรื่อยไป    ปัญหาจากภัยธรรมชาติ ความชั่วร้าย ความทุกข์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จึงอาจจะเข้าใจได้ไม่ยากในความคิดของผู้คนทั่วไปว่า  เกิดจากวงจรอำนาจของเทพที่สลับผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำหน้าที่   ส่วนความคิดทางกรีกนั้นเชื่อว่าเทพเจ้าของกรีกมีมากมายมหาศาล และมีการแบ่งบทบาทหน้าที่ต่อสรรพสัต์สรรพสิ่งเช่นเดียวกับความคิดของลัทธิพราหมณ์    ในขณะที่คติความเชื่อแบบพื้นบ้านทั้งของไทยเราและชนเผ่าอื่น ๆ ซึ่งนับถือผี  เทพ หรือเจ้าต่างๆ นั้น  เชื่อว่าสิ่งต่างๆเกิดจากอำนาจของผี เทพ หรือเจ้า  ซึ่งผีนั้นบางทีก็มีเหตุผล บางทีก็ไม่มีเหตุผล   เทพก็ดูจะทรงพิโรธได้ง่ายๆ  เช่น เดียวกับเจ้าที่ต้องคอยเซ่นไหว้เอาอกเอาใจ    พูดง่ายๆ ว่าเอาแน่เอานอนกับท่านไม่ค่อยได้  คติพื้นบ้านเหล่านี้จึงยอมรับได้ว่าภัยพิบัติย่อมเกิดขึ้นได้ และมนุษย์นั้นมีชะตากรรมที่ไม่แน่ไม่นอน  เพราะชีวิตเราขึ้นอยู่กับความไม่มีเหตุผลพอๆ กับความมีเหตุผล    การยอมรับว่าชีวิตเป็นสิ่งที่เอาแน่เอานอนไม่ได้และมนุษย์ไม่สามารถที่จะรู้ไปเสียหมดทุกสิ่ง ทำให้คนทั้งหลายมีท่าทีต่อชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง   ส่วนคำสอนทางพุทธนั้นจะปลอบประโลมใจให้ยอมรับว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นแก่มนุษย์เรานั้น   สืบเนื่องมาจากบุญและกรรมที่ได้สั่งสมไว้ในอดีตชาติเป็นสาเหตุและ จากการห่างไกลธรรมของคน (จึงก่อให้เกิดภัยพิบัติทั้งหลาย ซึ่งนำความทุกข์มายังผู้คน)  เพราะธรรมเป็นเครื่องมือสร้างคน  สร้างชาติ สร้างโลก[4]  เมื่อโลกปราศจากซึ่งธรรมภัยพิบัตย่อมเกิดขึ้น
ในแวดวงศาสนาที่เรียกว่าเอกเทวนิยม หรือศาสนาที่นับถือพระเจ้าองค์เดียว เช่น ยิว อิสลาม และ คริสเตียน  ซึ่งเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงมีอำนาจเหนือทุกสิ่ง    เพราะพระองค์ทรงสร้างโลกและสรรพชีวิตทั้งมวล รวมทั้งทรงบัญญัติกฎธรรมชาติทั้งหลายด้วย  ไม่เพียงแต่พระเจ้าจะมีทรงอำนาจเหนือทุกสิ่ง (Omnipotent) และปรากฏอยู่ทุกหนแห่ง (Omnipresent)  พระองค์ยังทรงไว้ซึ่งคุณธรรมความยุติธรรม (คือมีเหตุผล)  และมีพระเมตตาอย่างที่สุดด้วย   ปัญหาก็คือว่า ถ้าพระองค์ทรงเป็นเช่นนั้นจริง ทำไมโลกนี้จึงเต็มไปด้วยความทุกข์ ทำไมต้องมีสงครามที่เข่นฆ่าเด็ก ๆ ผู้ไร้เดียงสา  หรือทำร้ายประชาชนที่ไม่รู้อิโหน่ อิเหน่ ทำไมพระองค์ไม่ทำให้ความชั่วร้ายหมดไปจากโลก  และให้โลกมีแต่ความยุติธรรมและสันติสุข   ยิ่งในกรณีโศกนาฏกรรมที่เกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่นพายุใหญ่ที่พัดโหมกระหน่ำทำลายทรัพย์สินและชีวิตของผู้คนครั้งแล้วครั้งเล่าในหลาย ๆ ประเทศ แผ่นดินไหวในหลาย ๆแห่งทำให้ผู้คนต้องสูญเสียชีวิตเป็นหมื่น แสน และล้าน  เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ตายเป็นเด็กๆ ยิ่งเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ   คำอธิบายที่มักพูดกันง่ายๆ ว่าพระเจ้าลงโทษ   ดูจะใช้ไม่ได้สำหรับความตายของเด็กๆ จำนวนมากมายเหล่านั้น   เพราะเราไม่เชื่อและไม่คิดว่าเด็กเหล่านี้จะได้ทำผิดอะไรใหญ่หลวงจึงต้องมาเผชิญชะตากรรมเช่นนี้  ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว  ทำไมพระเจ้าจึงยอมให้เกิดเรื่องเหล่านั้นได้ !”  พระองค์ทรงสร้างความชั่วร้ายหรือเปล่า?”  ดังที่อิสยาห์ได้กล่าวว่า เราปั้นความสว่างและสร้างความมืด  เราทำโชคและสร้างวิบัติ เราคือพระเจ้า ผู้กระทำสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น” (45:7)
พระเจ้าทรงสร้างหรือเป็นต้นเหตุแห่งความชั่วร้ายใช่ไหม?
มีหลายคนบอกว่า    เพราะพระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งปวง      ดังนั้นพระองค์ก็ต้องสร้าง
ความชั่วร้ายด้วย   แต่แท้จริงแล้วความชั่วร้ายไม่ใช่ สรรพสิ่ง  เช่นสัตว์ หรือสิ่งของ  ความชั่วร้ายไม่มีรูปร่างให้เราเห็นได้  ความชั่วร้ายไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยตัวของมันเอง เมื่อพระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวงเสร็จแล้วพระคัมภีร์บอกว่า พระเจ้าทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างไว้  ทรงเห็นว่าดีนัก” (ปฐก.1:31)   หนึ่งในสิ่งดี ๆ ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาคือ มนุษย์ที่มีเสรีภาพในการเลือก  แต่เพื่อที่จะให้มีการเลือกอย่างแท้จริงขึ้น   พระเจ้าจึงจำเป็นที่จะต้องอนุญาตให้มีอะไรนอกเหนือจากสิ่งที่ดี ๆ เกิดขึ้นด้วย   แล้วพระองค์จึงทรงอนุญาตให้ทูตสวรรค์และมนุษย์ที่เป็นอิสระได้เลือกสิ่งที่ดีหรือไม่ดี (ชั่วร้าย)   เมื่อความสัมพันธ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้นระหว่างสิ่งที่ดี ๆ สองสิ่ง เราเรียกมันว่าความชั่วร้าย   ความชั่วร้ายจึงไม่ใช่ สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา     ดังนั้นความชั่วร้ายคือ การหายไปของความดี หรือจะพูดให้ชัดเจนก็คือ  ความชั่วร้ายคือการหายไปของพระเจ้า  พระเจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องทรงสร้างความชั่วร้าย เพียงแต่พระองค์ทรงอนุญาตให้ความดีหายไปเท่านั้น
               หากไม่ทรงอนุญาตให้มีความชั่วร้ายเกิดขึ้น    มนุษย์และทูตสวรรค์คงต้องปรนนิบัติพระเจ้าด้วยความจำยอมโดยไม่มีทางเลือก    การทรงอนุญาตให้มีความชั่วร้ายเกิดขึ้นก็เพื่อว่ามนุษย์จะได้มีอิสระอย่างแท้จริงในการเลือกว่าจะปรนนิบัติพระองค์หรือไม่   พระเจ้าจึงทรงนำต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่วมาไว้ในสวนเอเดน   เพื่อให้อาดัมและเอวามีทางเลือกที่จะเชื่อฟังพระ องค์หรือไม่เชื่อฟัง   อาดัมและเอวามีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ตามที่เขาทั้งสองต้องการ  นอกจากผลไม้จากต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่วเท่านั้นที่เขาทั้งสองถูกห้ามไม่ให้กิน (ปฐก. 2:16-17)   ถ้าพระ เจ้าไม่ทรงให้อาดัมและเอวามีทางเลือก    เขาทั้งสองก็จะเป็นเหมือนหุ่นยนตร์ที่เพียงแค่ทำตามโปรแกรมที่ถูกตั้งมาเท่านั้น   แต่พระเจ้าทรงสร้างอาดัมและเอวาให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่มี อิสระมีความสามารถในการตัดสินใจ  มีความสามารถในการเลือก    ดังนั้นเพื่อที่อาดัมและเอวาจะมีอิสระอย่างแท้จริงเขาจะต้องมีทางเลือก
              ไม่มีอะไรชั่วร้ายเกี่ยวกับต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่ว หรือผลของมันก็ไม่มีประโยชน์หรือโทษเลย   การกินผลของมันก็ไม่ได้ทำให้อาดัมและเอวาตายทันที   แต่ท่าทีของการไม่เชื่อฟังพระเจ้าต่างหากที่นำความบาปและความชั่วร้ายเข้ามาในโลกและในชีวิตของเขาทั้งสอง และนำไปสู่ความตาย   การกินผลไม้ อันเป็นการกระทำที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า  คือสิ่งที่ทำให้อาดัมและเอวารู้จักกับความชั่วร้าย  และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า  กลายเป็นคนบาป 
ตัวอย่างจากชีวิตของโยบ (โยบ 1-2) ก็เช่นกัน    พระเจ้าทรงอนุญาตให้ซาตานทำทุกอย่างนอกจากเอาชีวิตเขา  ทรงอนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้นเพื่อพิสูจน์ให้ซาตานเห็นว่าโยบเป็นคนชอบธรรมเพราะความรักที่เขามีต่อพระเจ้า ไม่ใช่เพราะพระพรที่เขาได้รับ  พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่สูงสุด  และทรงควบคุมทุกสิ่งที่เกิดขึ้น    ซาตานไม่สามารถทำอะไรได้เลยหากมันไม่ได้รับ อนุญาตจากพระเจ้า    ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงสร้างความชั่วร้ายแต่ทรงอนุญาตให้มันเกิดขึ้น  
ถ้าเช่นนั้นถ้อยคำของอิสยาห์ที่ว่า เราปั้นความสว่างและสร้างความมืด  เราทำโชคและสร้างวิบัติ (ความชั่วร้าย) เราคือพระเจ้า ผู้กระทำสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ่ง นั้นมีความหมายอย่างไร?
พระคัมภีร์ข้อนี้อาจจะทำให้บางคนมองว่า  พระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างหรือต้นเหตุของวิบัติหรือความชั่วร้าย  ดังนั้นพระองค์จึงทำผิดด้านศีลธรรมด้วย   เราจะตอบความคิดเช่นนี้อย่างไร อะไรคือความหมายที่แท้จริงที่อิสยาห์หมายถึง
เบื้องหลังของพระธรรมข้อนี้
ในช่วงต้นของพระธรรมบทนี้ พระเจ้าทรงสำแดงให้เห็นว่า     พระองค์ทรงครอบครองอยู่เหนือ
บรรดาประชาชาติ โดยเฉพาะสิทธิอำนาจของพระองค์ในการจัดการกับคนของพระองค์ นั่นคืออิสราเอล  พระองค์ได้ทรงอวยพระพรแก่พวกเขาอย่างมากมาย  แต่พวกเขาได้หันหลังให้กับพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า  และมอบตัวของพวกเขาทั้งหลายให้กับรูปเคารพ  ซึ่งปราศจากอำนาจใด ๆ ที่จะอวยพระพรมนุษย์ได้  การนมัสการ กราบไหว้ของพวกเขาเป็นการเปล่าประโยชน์ พวกเขาช่างปราศจากความเข้าใจอย่างไม่น่าเชื่อ  ผลสุดท้ายอาณาจักรของยูดาห์จะต้องพบกับการลงโทษโดยผ่านทางอาณาจักรบาบิโลน  แต่อย่างไรก็ตามในที่สุดพระเจ้าจะทรงอภัยโทษบาปคนของพระองค์และนำพวกเขาทั้งหลายกลับมายังบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง
ผู้ที่จะเป็นคนรับใช้ให้แผนการอันบริสุทธ์ของพระองค์สำเร็จจะเป็นกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย ซึ่งพระเจ้าได้ทรงกำหนดพระองค์ไว้ก่อนล่วงหน้าที่พระองค์จะเกิดมาร้อยกว่าปี   ในการเชื่อมโยงถึงบทบาทของไซรัสเพื่อแผนการพระเจ้า  เราได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า  พระองค์ทรงครอบครองอยู่เหนือพิภพ อิสายาห์ได้ป่าวประกาศว่าไม่มีใครเหมือนพระองค์ เราเป็นพระเจ้า  และไม่มีอื่นใดอีก  นอกจากเราไม่มีพระเจ้า  เราคาดเอวเจ้า แม้เจ้าไม่รู้จักเรา” (ข้อ 5)  ดังนั้นพระองค์จึงได้ยืนยันว่าเรากำหนดความสว่าง(เช่น การควบคุมธรรมชาติ) และสร้างความมืด เรานำความเจริญและสร้างความชั่วร้าย (เช่นการครอบครองอยู่เหนือประชาชาติ) เราคือพระเจ้าผู้ทรงกระทำสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น   อสย. 45:7
                จากคำประกาศอันอัศจรรย์นี้ทำให้เราได้เห็นถึงความจริงที่สำคัญยิ่ง พอจะกล่าวอย่างสังเขปดัง ต่อไปนี้
1.             พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแต่องค์เดียว ทรงเป็นอยู่ก่อนที่พระอื่นใด ๆ จะถูกสร้าง และพระองค์จะยังคงดำรงอยู่ตลอดไป หลังจากรูปเคารพพินาศไปสิ้น (43:10)
2.    มนุษย์มักจะหลงผิด ดังเช่นคำกล่าวของบาบิโลนที่คิดว่าตนไม่เหมือนกับชนชาติใดทั้งสิ้น  ข้านี่
แหละ และไม่มีผู้ใดอื่นอีก  (อสย. 47:8,10)   พระเจ้าต่างหาก ทรงเป็นพระองค์เอง (เอกลักษณ์) 
ทั้งพระ (รูปเคารพ) ก็ไม่อาจจะเปรียบปานพระองค์ได้ (45:5-6,14,18,21-22)[5]
3. โดยฤทธิ์อำนาจของพระองค์    พระองค์จะทรงสนับสนุนกษัตริย์ไซรัส   ซึ่งไม่รู้จักพระองค์และ
       ความจริงของพระองค์   อย่างไรก็ตามเพื่อทำตามแผนงานของพระองค์ให้สำเร็จ    พระองค์ได้
      ดำเนินการใด ๆไม่มี ใครสามารถทำให้ย้อนกลับหรือขัดขวางแผนการของพระองค์ได้ (ยบ. 42:2)
4.             ผลจากฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าในการปลดปล่อยคนของพระองค์ พระนามของพระองค์ย่อมจะเป็นที่เลื่องลือไปตั้งแต่จากทิศตะวันออกจรดตะวันตก (ทั่วโลก) (43:11;44:6;46:9)
5.             ฤทธิ์อำนาจแห่งการทรงสร้างและการจัดเตรียมของพระองค์ สำแดงถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์อย่างชัดเจน พระเทียมเท็จเหล่านั้นทำอะไรไม่ได้ ช่วยใครให้รอดไม่ได้  ไปไหนก็ไม่ได้นอกจากนั้นยังเป็นภาระให้ผู้คนแบกหาม  ในที่สุดก็ต้องตกไปเป็นเชลยเช่นเดียวกับผู้ที่กราบไหว้ (40:18-20;41:7;44:9-20;45:16,20;46:1-9)
ลักษณะการใช้คำมีความหมายพิเศษ
              เช่น คำว่า พระเจ้า” (เอล) อาจจะหมายถึงพระเจ้าเที่ยงแท้ที่เรากล่าวถึง (ยน.1:1) หรือคำนี้อาจจะนำมาใช้กับสิ่งเทียมเท็จที่มนุษย์กราบไหว้  ซึ่งหาได้เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ไม่ (1คร.8:4-6) คำว่า ถิ่นทุรกันดารหรือ ทะเลทราย” (อสย 40:3) อาจจะหมายถึงที่ที่ไม่มีน้ำ หรืออาจจะหมายถึงสังคมหรือชีวิตความเป็นอยู่ที่ขาดพระพร และปราศจากพระเจ้าก็ได้  คำบางคำแสดงให้เห็นว่าผู้เขียนกำลังวาดภาพจักรวาลตามความเข้าใจของคนสมัยนั้น   ซึ่งเป็นคนละอย่างกับเราเข้าใจในปัจจุบันนี้ เช่นผู้เขียนได้บรรยายว่า พระเจ้าทรงขึงฟ้าสวรรค์เหมือนขึงม่าน” (อสย.40:22)   เพราะท่านอาจจะคิดว่าโลกนี้แบนและมีหลังคา  แต่ก็ไม่เห็นต้องเป็นปัญหาสำหรับเรา เพราะปัจจุบันนี้เรารู้ความจริงเรื่องโครงสร้างของโลกและตำแหน่งที่มันลอยอยู่ในจักรวาลมากขึ้น  ถ้าเราพิจารณาข้อนี้ให้ถ้วนถี่แล้ว เราก็จะเห็นว่าผู้เขียนไม่ได้พยายามจะสอนเรื่องภูมิศาสตร์แต่ประการใด  แต่ท่านต้องการสื่อถึงเรื่องพระเจ้ามากกว่า  ว่าพระองค์ทรงใช้ฤทธานุภาพของพระองค์เสมอเพื่อทำให้โลกเป็นสถานที่รื่นรมย์น่าอยู่[6]
              ลักษณะคำจากตัวอย่างเหล่านี้มีมากมายในพระคัมภีร์ ซึ่งคำๆ หนึ่งมักจะมีความหมายได้หลายอย่าง  แต่อย่างไรก็ตามเราจะต้องศึกษาดูสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกันในบริบทของเรื่องที่เรากำลังศึกษาอยู่นั้นว่าแท้จริงผู้เขียนต้องการสื่อเกี่ยวกับประเด็นอะไรกันแน่ ในทำนองเดียวกันคำว่า ความชั่วร้ายในที่นี่ก็สามารถใช้ได้ในหลายความหมาย  ซึ่งขึ้นอยู่กับเรื่องราวลักษณะไหนที่ผู้เขียนกำลังต้องการสื่อ  ในภาษาฮีบรูคำว่า רע” (ลาอา)  ก็ยังมาจากรากศัพท์ซึ่งมีความหมายว่า ทำให้เสีย, ทำให้เสื่อมเสีย, ปล้นชิง  หรือ ทำให้แตกเป็นชิ้น ๆเช่น โลกแตกสลาย (ลอาอ์) สิ้นเชิงแล้ว โลกแตกเป็นเสี่ยงๆ โลกถูกเขย่าอย่างรุนแรง” (อสย. 24:19) “มีผู้หนึ่งผู้ใดหัก (ลโลอา) เหล็กได้หรือ คือเหล็กจากทิศเหนือและทองสัมฤทธิ์”(ยรม.15:12)    
เราจึงพอจะแยกแยะหลักในการใช้คำนี้ได้คร่าว ๆ ดังต่อไปนี้
1. คำว่า ชั่วร้ายมีความหมายเล็งถึงการทำชั่วในแง่ศีลธรรม  เช่นอิสยาห์หรือผู้เผยพระวจนะหลาย ๆ ท่านได้พยายามตักเตือนชนชาติอิราเอลให้หันกลับจากการดื้อดึง การทำบาปผิดในแง่ศีลธรรม โดยใช้คำว่า ชั่วร้ายเช่นตั้งแต่ช่วงต้นของอิสยาห์ก็ได้กล่าวย้ำเรื่อนี้ จงชำระตัว  จงทำตัวให้สะอาด จงเอากรรมชั่วของเจ้าออกไปให้พ้น   จากสายตาของเรา  จงเลิกกระทำชั่ว  (อสย.1:16) พวกเขาผูกติดกับความชั่วร้ายด้วยเชือก (พัวพันติดลึกอยู่ในความบาป)  เห็นความชั่วเป็นสิ่งดี  เพราะความชั่วร้ายของคนของพระเจ้าเองได้นำความหายนะมาถึงตัวเขาเอง[7]  จนถึงช่วงสุดท้ายของการเผยพระวจนะคนของพระเจ้าก้ยังไม่ได้หันกลับจากทางแห่งความชั่วร้าย แต่เจ้าได้กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของเรา และเลือกสิ่งที่เราไม่ปีติยินดีด้วยเราก็จะเลือกความทุกข์ใจให้เขาด้วย  และนำสิ่งที่เขากลัวมาให้เขา   เพราะเมื่อเราได้เรียก  ไม่มีสักคนหนึ่งตอบ เมื่อเราพูด  เขาไม่ฟัง แต่เขาได้กระทำความชั่วร้ายในสายตาของเรา  และเลือกสิ่งซึ่งเราไม่ปีติยินดีด้วย   (อสย.65:12;66:14)  เปรียบเทียบ อสค.(20:39,43-44) พระเยซูคริสต์ได้ตรัสถึง ความคิดชั่วร้าย  ซึ่งสำแดงออกด้วยการกระทำผิดในหลาย ๆ อย่าง เช่น การล่วงประเวณี การลักทรัพย์ การฆ่าคน เป็นต้น (มก. 7:21-23) 
2. ในอีกด้านหนึ่งคำว่า ความชั่วร้ายสามารถหมายถึง ความหายนะ หรือภัยพิบัติ ในบางกรณี การพิพากษาที่จะตกมาเหนืออิสราเอลต่อความผิดบาปของพวกเขา  เราจะเห็นว่าอิสยาห์ได้ใช้คำว่า ชั่วร้ายซึ่งใช้คู่ (อธิบายความหมายที่ตรงข้ามกัน) กับคำว่า สันติภาพเพื่อย้ำให้เราเห็นว่าพระเจ้าทรงมีอำนาจที่จะทำให้เกิดสันติภาพในสังคม  หรือทรงนำมาซึ่งความชั่วร้าย  (เช่น การพิพากษา การทำลาย)   เมื่อเราได้
สังเกตคำนี้ที่ใช้ในที่อื่น ๆ  เมื่อพระเจ้าทรงตักเตือนคนอิสราเอลว่า ถ้าหากว่าพวกเขาทำพันธมิตรกับอียิปต์  พระองค์จะทรงนำ ความชั่วร้ายมาเหนือพวกเขา เช่น การลงโทษ (อสย. 31:1-2) เช่นเดียวกันในการกล่าวถึง การพิพากษาลงโทษบาบิโลน อิสยาห์ได้กระกาศว่า เจ้ารู้สึกมั่นอยู่ในความอธรรมของเจ้า   เจ้าว่า  ไม่มีผู้ใดเห็นข้า   สติปัญญาของเจ้าและความรู้ของเจ้าทำให้เจ้าเจิ่นไป  และเจ้าจึงว่าในใจของเจ้าว่า ข้านี่แหละ  และไม่มีผู้ใดอื่นอีก  ดังนั้นความชั่วร้ายจะตกมาเหนือเจ้าจะไม่อาจจะรู้ที่มาของมัน  และภัยพิบัติจะตกอยู่เหนือเจ้า  เจ้าจะไม่อาจคลาดแคล้ว  และความพินาศจะมาถึงเจ้าทันที  โดยที่เจ้าไม่รู้เรื่องเลย” (อสย.47:10,11)  ดังนั้นความชั่วร้ายที่พระเจ้าทรงนำมาก็คือ ภับพิบัติ  ซึ่งภัยพิบัตินั้นก็เหมาะสมกับความชั่วร้ายของบาบิโลน
3. ในบางครั้งคำว่า ความชั่วร้ายคำเดียวกันนี้ ยังหมายถึงความบกพร่อง  ความเจ็บป่วยทางร่างกาย  กษัตริย์ซาโลมอนได้กล่าวเตือนใจคนที่อยู่ในวัยหนุ่มว่า ในปฐมวัยของเจ้า   เจ้าจงระลึกถึงพระผู้เนรมิตสร้างของเจ้า   ก่อนที่ยาม ทุกข์ร้อน (ร้าย) จะมาถึง  และปีเดือนใกล้เข้ามา   เมื่อเจ้าจะกล่าวว่า   ข้าไม่มีความเพลิดเพลินในปีเดือนนั้นเลย” (ปญจ.12:1)  ดูข้อ 3-7
4. นักวิชาการหลายท่านยังเห็นว่าคำว่า ความชั่วร้ายในที่นี่สามารถใช้ในความหมายทั่ว ๆ ไปซึ่งหมายถึงการทำอันตรายต่อร่างกาย เช่น สัตว์เหล่านั้นจะไม่ทำ ความชั่วร้าย หรือทำลายทั่วภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา  เพราะว่าแผ่นดินโลก   จะเต็มไปด้วยความรู้เรื่องของพระเจ้า ดั่งน้ำปกคลุมทะเลอยู่นั้น” (อสย.11:9)    คนชั่วร้ายวางแผนอุบายที่ทำร้ายผู้อื่น (ด้วยอาวุธที่ชั่วร้ายของเขา)  อุบายของคนถ่อยก็ ชั่วร้าย  เขาคิดขึ้นแต่กิจการชั่ว เพื่อทำลายคนยากจนด้วยถ้อยคำเท็จ    แม้ว่าเมื่อคำร้องของคนขัดสนนั้นถูกต้อง” (อสย.32:7) “เท้าของเขาวิ่งไปหา ความชั่ว และเขาเร่งไปหลั่งโลหิตไร้ความผิดให้ถึงตาย   ความคิดของเขาเป็นความคิดชั่ว   การล้างผลาญและการทำลายอยู่ในหนทางของเขาอสย.59:8   เมื่อกองทัพบาบิโลนเข้าล้อมกรุงเยรูซาเล็มอยู่หนึ่งปีครึ่ง (ประมาณปี 587 กคศ.)[8]  กองทัพบาบิโลนได้เข้าทำทารุณกรุงเยรูซาเล็ม เผาทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี จับประชาชนไปเป็นเชลย เหลือไว้แต่คนยากจนหรือคนที่บาบิโลนเห็นว่าใช้ทำงานไม่ค่อยได้  พระเจ้าทรงคุ้มครองเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะของยูดาห์ (หลังจากอิสายาห์ประมาณร้อยปี) และชาวแอฟริกาอีกคนหนึ่งตลอดการโจมตีของบาบิโลน ตามที่ทรงสัญญาไว้  (ยรม.39:8)[9]  เนบูคัดเนสซาร์พระราชาแห่ง บาบิโลนได้ประทานบัญชาเกี่ยวด้วยเยเรมีย์ทางเนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ว่า จงรับท่านไป   ดูแลท่านให้ดี   และอย่าทำอันตรายแก่ท่าน   แต่จงกระทำแก่ท่านตามที่ท่านบอกให้  จากเรื่องของเยเรมีย์นี้ทำให้เราระลึกถึงคำเผยพระวจนะของอิสยาห์ที่ว่า เจ้าเชื่อฟังถ้าพระบัญญัติของพระองค์ จะไม่ต้องตกไปเป็นเชลย แต่จะมีสันติสุข  (ความสุขสมบูรณ์) (41:14) ลูก ๆ ก็ไม่ต้องถูกฆ่าตายเลย[10]
พระลักษณะของพระเจ้า
การศึกษาดูพระลักษณะของพระเจ้าตลอดในพระคัมภีร์  ถ้าเราจะกล่าวว่า พระเจ้าสร้างสิ่งที่ชั่วร้ายหรือในพระองค์มีสิ่งที่ชั่วร้าย ย่อมขัดแย้งกับพระลักษณะพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงสัตย์ซื่อห่างไกลจากมลทินทางด้านคุณธรรมทั้งปวง (ฉธบ.32:4)  ความชั่วร้ายจะอยู่กับพระองค์ไม่ได้  เพราะพระองค์มิได้ปิติยินดีความชั่วร้าย (สดด. 5:4)  พระคัมภีร์พูดถึงไฟควบคู่ไปกับความบริสุทธิ์ ทรงเป็นพระเพลิงที่เผาผลาญความบาปผิด (อิสยาห์ 5:19, 6:3, 12:9, 40:25, 43:3; ฮะบากุก 1:13; อพยพ 3:2, 4, 5; ฮีบรู 12:29) ทูตสวรรค์ได้ป่าวร้องว่า  บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ พระเจ้าจอมโยธา แผ่นดินโลกเต้มด้วยพระสิริของพระองค์  (อิสยาห์ 6:3)  ความบปชั่วไม่สามารถปรากฏต่อพระพักตร์ของพระองค์ได้  เพราะจะพินาศไป  และเพราะพระเจ้าทรงเป็นผู้ชอบธรรม และเที่ยงธรรม  พระองค์จึงจัดการลงโทษต่อความบาปชั่วทั้งหลายมนุษย์  และทรงตีสอนประชากรของพระองค์ที่ไม่เชื่อฟัง ด้วยเหตุร้ายและภัยพิบัติต่าง ๆ เพื่อสำแดงความเข้มงวดและความยุติธรรมของพระองค์ให้ประจักษ์แจ้ง
สรุปความหมาย
จากที่ได้ศึกษามาทั้งหมดเกี่ยวกับคำว่า ความชั่วร้ายในข้อที่ 11 นี้จึงน่าจะหมายถึง บ่อเกิดแห่งภัยภิบัติ, การกระทำที่ก่อให้เกิดอันตราย  และ ความรกร้างว่างเปล่า, ความทรุดโทรม,ความอ้างว้างซึ่งในเวลาต่อมาเราได้เห็นว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของข่าวที่ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าพยายามจะสื่อ ความชั่วร้ายแน่นอนนั่นก็คือ การเคลื่อนทัพมาบุกทำลาย และการต้องตกเป็นเชลยของบาบิโลนที่กำลังคืบคลานเข้ามาหาประชาชนอิสราเอล  ดังคำประกาศของผู้เผยพระวจนะซึ่งกล่าวว่า  และถ้าประชาชาตินั้น   ซึ่งเราได้ลั่นวาจาไว้เกี่ยวข้องด้วย   หันเสียจากความชั่วของตน   เราก็จักกลับใจจากโทษ ซึ่งเราได้ตั้งใจจะกระทำแก่ชาตินั้น  เพราะฉะนั้น   คราวนี้จึงกล่าวกับคนยูดาห์และชาวเมืองเยรูซาเล็มว่า   พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า   ดูเถิด  เรากำลังก่อสิ่งร้ายไว้สู้เจ้า   และคิดแผนงานอย่างหนึ่งไว้สู้เจ้า   ทุกๆคนจงกลับเสียจากทางชั่วของตน   และจงซ่อมทางและการกระทำของเจ้าทั้งหลายเสีย   (ยรม. 18:8, 11).
ดังนั้นจากการพิจารณาดูความหมายของรากศัพท์ในภาษาฮีบรูในหลาย ๆ ความหมายสำหรับคำว่า ลาอา” (ความชั่วร้าย)  ในพระคัมภีร์ข้อนี้ และจากพระคัมภีร์ข้ออื่น ๆ   เราจึงไม่น่าจะแปลคำว่า ลาอา  ในลักษณะที่ว่า พระเจ้าทรงสร้างความชั่วร้ายในแง่ศีลธรรมแต่น่าจะแปลว่า วิบัติ  แทนคำว่า ความชั่วร้ายอย่างที่พระคัมภีร์ฉบับภาษาไทยและภาษาอื่น ๆ หลายฉบับใช้กัน  ในขณะเดียวกันก็ไม่ผิดที่พระคัมภีร์ฉบับแปลเก่าแก่หลายฉบับพยายามใช้คำให้ตรงกับคำในภาษาฮีบรู  แต่คำในภาษาอื่นอาจจะมีความต่างจากภาษาฮีบรู เช่น ฉบับ KJV ฉบับ Geneva1599 ฉบับ Webster  เป็นต้นใช้คำว่า ความชั่วร้าย  เพียงแต่ว่าอาจจะทำให้ผู้อ่านสับสนถ้าหากไม่มีพื้นฐานเกี่ยวกับพระคัมภีร์ที่ถูกต้อง
บทสรุป
            ดังนั้นคำตอบต่อคำถามที่ว่า  พระเจ้าทรงสร้างความชั่วร้ายหรือ?”  จึงอาจสรุปได้ตามพระวจนะของพระเจ้าที่ตรัสผ่านอิสยาห์ เราปั้นความสว่างและสร้างความมืด เราทำโชคและสร้างวิบัติ เราคือพระเจ้า ผู้กระทำสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้นด้วยเหตุผลที่ว่า พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้สูงสุด ผู้ทรงครอบครองควบคุมเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง  ทรงเป็นความสว่าง ความบริสุทธิ์  ชอบธรรม ยุติธรรมและเที่ยงธรรม  ความมืด ความบาป ความชั่วร้ายไม่อาจอยู่ร่วมกับพระองค์ได้ พระองค์จึงจำเป็นต้องตอบสนองหรือลงโทษต่อความบาปชั่วของมนุษย์ โดยทรงอนุญาตหรือ นำการชั่วร้ายในลักษณะของภัยพิบัติทางธรรมชาติ  และภัยจากสงครามมาสู่มนุษย์  ดั่งที่ อ.เปาโลกล่าวว่า เพราะว่าพระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธของพระองค์จากสวรรค์ต่อความหมิ่นประ มาทพระองค์ และความชั่วร้ายทั้งมวลของมนุษย์ที่เอาความชั่วร้ายนั้นบีบคั้นความจริง” (โรม 1:18)   อันที่จริงเมื่อมองย้อนกลับไปในปฐมกาล มนุษย์คู่แรกได้ทำบาปต่อพระเจ้า และนำความบาป ความตายและการแช่งสาปมาสู่มวลมนุษย์  มนุษยชาติอยู่ภายใต้พระอาชญาของพระเจ้า และสมควรพินาศสิ้น   แต่ว่า “...พระเจ้าได้ทรงอดกลั้นพระทัยไว้ช้านานต่อผู้เหล่านั้นที่เป็นภาชนะอันสมควรแก่พระอาชญา  ซึ่งเตรียมไว้สำหรับความพินาศ” (โรม 9:22)   ฉะนั้นคำถามที่ว่า ทำไมพระเจ้าที่ดีและบริสุทธิ์จึงอนุญาตให้สิ่งชั่วร้ายเกิดแก่คนดีๆ ได้?”  จึงเป็นคำถามที่ปราศจากความเข้าใจที่ถูกต้อง
                หากมองเรื่องนี้ในบริบทของคนไทยเราที่นับถือผี  ซึ่งเชื่อว่าเหตุร้ายและความป่วยไข้นั้นเกิดจากอำนาจของผีหรือการลงโทษของผีต่อการที่เขาทำผิดต่อผีเหล่านั้น  พวกเขาจึงต้องมีการเซ่นไหว้ขอขมาต่อ
ผีเหล่านั้น  ซึ่งแนวความเชื่อนี้ดูจะสอดคล้องกับคำสอนของพระคัมภีร์  แต่ทว่าพระเจ้าผู้เที่ยงแท้นั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับผีเหล่านั้นชอบหาเรื่องมนุษย์ตามอำเภอใจ  เอาแน่เอานอนไม่ได้    สำหรับคนไทยที่นับถือพุทธนั้นเชื่อว่าสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากกรรมชั่วที่ได้ทำในอดีต ไม่ว่าจะเป็นของชาตินี้หรือชาติก่อนก็ตาม   ซึ่งถือว่าเป็นการชดใช้กรรมที่ได้ทำไว้ หรือที่ว่า กรรมตามสนองนั่นเอง   แต่ถ้าจะถามว่ากรรมในอดีตชาติคืออะไร ไม่มีใครที่อาจตอบอย่างแน่นชัดได้  นอกจากคำตอบที่เด่นชัดในพระคัมภีร์ที่ว่า เหตุฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปได้เข้ามาในโลกเพราะคนๆ เดี่ยวและความตายก็เกิดมาเพราะบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน  เพราะมนุษยืทุกคนทำบาป” (โรม 5:12)  และหากจะถามว่า แล้วใครละที่เป็นผู้กำหนดและควบคุมกฎแห่งกรรมนี้ให้มีประสิทธิภาพ  กลับไม่มีคำตอบในหลักคำสอนของพุทธศาสนาที่ชัดเจน   แต่พระคัมภีร์บอกชัดเจนว่า พระเจ้าตรัสว่า การแก้แค้นและการตอบ สนองเป็นของเรา  รอเวลาเมื่อเท้าของเขาจะลื่นพลาด  เพราะว่าวันหายนะของเขาใกล้แล้ว และกรรมจะมาถึงเขาโดยเร็วพลัน” (ฉธบ.32:35) 
                ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่า คำตรัสของพระเจ้าในอิสยาห์ 45:7  ที่ว่า เรากำหนดความสว่างและสร้างความมืด เรานำความเจริญและบันดาลภัยพิบัติ” (ฉบับอมตธรรม)  เป็นสิ่งที่สอดคล้องและสามารถเข้าใจได้ไม่ยากนักในบริบทของคนไทย    และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเราที่เป็นคริสเตียนไทยที่จะตระหนักในเรื่องนี้ด้วยการดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้า  มีชีวิตบริสุธิ์สมกับพระเจ้าที่เรียกเรานั้นบริสุทธิ์ เพื่อเราจะไม่ต้องถูกการตีสอนจากพระบิดาของเรา   และลุกขึ้นทำหน้าที่ของผู้ทูลขอพระเมตตาต่อพระเจ้า  สารภาพบาปของพี่น้องคนไทย  ประกาศสั่งสอนความจริงของพระองค์เพื่อคนไทยจะได้หันกลับมาสู่พระเจ้า  อย่าให้เราละเลยหรือทำให้พระเจ้าผิดหวัง  อย่างที่พระองค์ได้ตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะเอเสเคียลว่า และเราก็แสวงหาสักคนหนึ่งในพวกเขาซึ่งจะสร้างกำแพงและยืนอยู่ในช่องโหว่ต่อหน้าเราเพื่อแผ่นดินนั้น   เพื่อเราจะมิได้ทำลายมันเสีย  แต่ก็หาไม่ได้สักคนเดียว” (อสค.22:30)

บรรณานุกรม
โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์, โศกนาฏกรรมอันดามัน: ความทุกข์ ความหมายกับการเยียวยา, หนังสือพิมพ์
                        โพสต์ทูเดย์ ฉบับประจำวันที่ 22 มีนาคม 2548   
ปฏิมา คงสืบชาติ (ผู้แปล), คู่มือพระคัมภีร์ฉบับสมบูรณ์ เล่ม 2: กรุงเทพ : กนกบรรณสาร, 1991
ปาร์คเกอร์ แกรี่, ไขปัญหาจักรวาล, กรุงเทพฯ; กนกบรรณสาร, 1997 . 221
เฟล็มมี่ง ดอน, คู่มืออธิบายพระคัมภีร์เล่ม 4 :อิสยาห์-บทเพลงคร่ำครวญ, กรุงเทพ: สำนักพิมพ์ บีซีอี,
2003
มาร์ติน จอห์น เอ, อิสยาห์ (Isaiah) , BKC, กรุงเทพ: ศูนย์ทีรันนัส, 2001
อรุณ  เวชสุวรรณ, วิวาทะ(ความเห็นไม่ตรงกัน)ระหว่าง ม....คึกฤทธิ์ ปราโมชกับท่านพุทธทาสภิกขุ,  
กรุงเทพฯ; สำนักพิมพ์อรุณวิทยา,  2543
E. John Hamlin, คู่มือศึกษาพระคัมภีร์ อิสยาห์ 40-60, กรุงเทพฯ, สำนักพิมพ์สุริยบรรณ, 1993 
Francis Brown, D.D., D. Litt., The Brown-Driver-Briggs Hebrew and English Lexicon,       
                Massachusetts; Hendrickson Publishers, 2003
Jay P. Green, Sr. , The Interlinear Hebrew-Aramaic Old Testament, Volume III, Hendichson
Publishers, 2005
Wolf, Herbert M., Interpreting Isaiah, Grand Rapids, Michigan: Zondervan Publishing House, 1985
www.palungjitrescuedisaster.com

[1] www.palungjitrescuedisaster.com
[2] แกรี่ ปาร์คเกอร์, ไขปัญหาจักรวาล, กรุงเทพฯ; กนกบรรณสาร, 1997 . 221
              [3] โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์, โศกนาฏกรรมอันดามัน:ความทุกข์ ความหมายกับการเยียวยา, หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับประจำวันที่ 22 มีนาคม 2548   
[4] อรุณ  เวชสุวรรณ, วิวาทะ(ความเห็นไม่ตรงกัน)ระหว่าง ม....คึกฤทธิ์ ปราโมชกับท่านพุทธทาสภิกขุ, สำนักพิมพ์อรุณวิทยา, กรุงเทพฯ 2543 . 31
[5]  E. John Hamlin, คู่มือศึกษาพระคัมภีร์อิสยาห์ 40-60, กรุงเทพฯ, สำนักพิมพ์สุริยบรรณ, 1993, . 176   
[6] E. John Hamlin, คู่มือศึกษาพระคัมภีร์อิสยาห์ 40-60, กรุงเทพฯ, สำนักพิมพ์สุริยบรรณ, 1993, . 10   
[7] มาร์ติน,จอห์น,เอ,อิสยาห์ (Isaiah) , BKC,กรุงเทพ: ศูนยืทีรันนัส (สำนักพิมพ์ จีพี). 2001, . 32,38
[8] ผู้แปล ปฏิมา คงสืบชาติ, คู่มือพระคัมภีร์ฉบับสมบูรณ์ เล่ม 2: กรุงเทพ :กนกบรรณสาร, 1991, . 396
[9] เฟล็มมี่ง,ดอน,คู่มืออธิบายพระคัมภีร์เล่ม 4 :อิสยาห์-บทเพลงคร่ำครวญ,กรุงเทพ:สำนักพิมพ์ บีซีอี,2003, . 150
[10] มาร์ติน,จอห์น,เอ,อิสยาห์ (Isaiah) , BKC,กรุงเทพ: ศูนยืทีรันนัส (สำนักพิมพ์ จีพี). 2001, . 185

No comments:

Post a Comment