Wednesday, July 6, 2011

ยอมรับกัน


1. การยอมรับกัน เราควรยอมรับกันและกัน รวมทั้งนิสัยใจคอ และรสนิยมของเขา
2. ปรับตัวเข้าหากัน  ก่อให้เกิดการประสานกลมเกลียว (Accord) และการกลมกลืนระหว่างกันขึ้น
3. รู้จักขออภัยจากกัน ยอมรับซึ่งกันเท่าที่ยอมรับกันได้ และพยายามปรับตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ยังมีเรื่องที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดกระทำสิ่งที่ก่อเกิดความเสียใจขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างกัน ทั้งสองก็ควรจะรู้จักให้อภัยอีกคนหนึ่งโดยเร็วที่สุด ควบคู่ไปกับการรู้จักไวในการขออภัยและยอมรับการอภัยเช่นกัน
4. รู้จักละเลิกหรือหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เสียใจ ยอมรับซึ่งกันและกัน พยายามปรับตัวเข้าหากันและรู้จักขอโทษขออภัยในยามผิดพลาดและเรียนรู้จักหลีกเลี่ยงไม่ทำสิ่งผิดพลาดนั้นซ้ำซากหรือตั้งใจละเลิกสิ่งที่อาจก่อเกิดความเสียใจในจิตกัน ความสัมพันธ์ระหว่างกันก็จะพัฒนาขึ้นในทางดีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนนำไปสู่การเป็นครอบครัวที่ปลอดทุกข์ในที่สุด!
5. การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ยอมรับในกันและกัน และปรับตัวเข้าหากันและรู้จักขอโทษกัน รวมทั้งหลีกเลี่ยงไม่ก่อเกิดความเจ็บปวดใด ๆ ซ้ำขึ้นมาอีก ตามด้วยการแสดงน้ำจิตน้ำใจช่วยเหลือเกื้อกูลต่อกันอย่างเต็มใจ ทั้งในยามร้องขอและแม้แต่ในยามที่ยังไม่ทันร้องขอ  ก็จะช่วยทำให้ครอบครัวนี้กลายเป็นครอบครัวที่ก่อสุข และเสริมสร้างบรรยากาศให้น่าอภิรมย์น่าอยู่ขึ้นมาในทันที!
6.  การแสดงความชื่นชมต่อกัน ยอมรับ ปรับตัว รู้จักขอโทษ หลีกเลี่ยงการทำผิดซ้ำสอง และช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ตามด้วยการหมั่นแสดงความซาบซึ้งหรือความชื่นชมต่อกันอยู่เป็นระยะ ๆ อย่างจริงใจ จะก่อเกิดเป็นบรรยากาศที่อบอุ่นน่ารื่นรมย์เพิ่มมากยิ่งขึ้นไปอีก
7. การจัดเตรียมเลี้ยงดูซึ่งกันและกัน ยอมรับ ปรับตัว  ไวในการขออภัย ไม่ทำสิ่งที่สร้างความเสียใจ แต่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อ และแสดงออกถึงความชื่นชมต่อกันอย่างต่อเนื่อง และรับผิดชอบดูแลทะนุถนอมในการเลี้ยงดูกันอย่างเอาใจใส่และเป็นรูปธรรม โดยยินดีจ่ายราคาแห่งความรักห่วงใยนี้อย่างเต็มที่เท่าที่จะสามารถจัดหาปัจจัยมาให้แก่กันด้วยใจกว้างขวาง
8.  หากเรายอมรับ ปรับตัว ไม่รีรอที่จะขออภัยและไม่สร้างปัญหาใดเพิ่ม แต่มีความเอื้ออารี และแสดงความชื่นชมชื่นชอบ โดยไม่ตระหนี่ปัจจัยที่จำเป้นต่อกัน
9. ให้รางวัลชีวิตแก่กันและกันยอมรับพร้อมปรับนิสัยใจคอ ไม่รีรอยอมรับผิด ขออภัย ไม่ก่อเหตุใดให้เจ็บปวด แต่สนับสนุนเสริมส่ง หมั่นกล่าวคำไพเราะเสนาะหู และรู้จักใช้ทรัพย์สินในทางสร้างสุข อีกทั้งยังรู้จักทำตัวให้มีเสน่ห์ ก่อเกิดความเสน่หาไม่รู้สิ้นสุด
ปิดท้ายด้วยการรู้จักให้รางวัลแก่อีกฝ่ายหนึ่งในยามที่เขาหรือเธอกำลังกระทำดีหรือปรับปรุงพัฒนาตัวเอง เพื่อความสัมพันธ์ในครอบครัว ไม่ว่าจะออกมาในรูปของคำชมเชย สิ่งของ ทรัพย์สินหรือการปฏิบัติล้วนเป็นสิ่งพิเศษดังที่ใจของอีกฝ่ายปรารถนา


พระคุณที่สาม


พระคุณที่สามคีอคุณครูซึ่งในปัจจุบันการศึกษาเป็นปัจจัยในการสร้างและการพัฒนาความรู้ ความคิดและความสามารถรวมกระทั่งความประพฤติและคุณธรรม สังคมและบ้านเมืองใด ๆ ให้การศึกษาที่ดีแก่เยาวชนได้อย่างครบถ้วน สังคมและบ้านเมืองก็จะมีพลเมืองที่มีคุณภาพ ซึ่งสามารถที่จะรักษาความเจริญมั่นคงของประเทศชาติไว้ได้ และพัฒนาให้ก้าวหน้าต่อไปโดยซึ่งผู้ที่จะทำให้คนเป็นพลเมืองที่ดีได้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่คอยอบรมสั่งสอน บุคคลผู้ที่เคยอบรมสั่งสอนให้คนเป็นมีความเป็นคน และเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาตินั้นก็คือครูนั่นเองซึ่งคำว่าครูนั้นมาจากคำว่า คุรุ หมายความว่า หนัก สำคัญ การเคารพและมีค่าสูง เพราะฉะนั้นคำจำกัดความของคำว่าครู ก็คือ ผู้ที่คอยสั่งสอนศิษย์ ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ศิษย์ และมีค่าสูงควรแก่การเคารพและนับถือ

ครูนั้นอาจจะมิได้มีความหมายเพียงเท่านี้ เพราะว่า ครูนั้นสั่งสอน อบรมบ่มวิชา ถ่ายทอดความรู้ต่าง ๆ ให้แก่เด็ก รวมทั้งถ่ายทอดประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ท่านได้ไปประสบมาถ่ายทอดให้แก่ลูกศิษย์ฟังในเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าทางโลกและทางธรรม เพื่อต้องการให้ลูกศิษย์นั้นเป็นคนดีมีคุณธรรม มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีความรับผิดชอบ รวมทั้งเมื่อลูกศิษย์เติบโตขั้นไปในอนาคตต้องการให้ลูกศิษย์ดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ที่สำคัญที่สุดก็คือ เมื่อศิษย์ได้เล่าเรียนได้ศึกษาแล้ว ครูต้องการให้ลูกศิษย์มีความรู้ และสามารถนำความรู้ที่ได้รับนั้นไปใช้ในการศึกษาเล่าเรียนต่อและประกอบอาชีพในอนาคตตามที่ลูกศิษย์แต่ละคนมุ่งหมายเอาไว้ นอกจากนี้ยังต้องการให้ลูกศิษย์นั้นปฏิบัติตนเป็นคนดีของสังคมและของประเทศชาติ ตลอดเวลาที่ผ่านไม่ว่าอดีตจนถึงปัจจุบันมีผู้เปรียบเปรยคู่กับครูว่า ครูนั้นเปรียบเสมือนเรือจ้างที่เคยสั่งสอนโดยให้ความรู้ โดยศิษย์นั้นจบการศึกษารุ่นแล้วรุ่นเล่าก็เหมือนดั่ง ครูที่เป็นเรือที่พาลูกศิษย์ส่งข้ามฟากไปอีกฟากหนึ่ง โดยที่ครูนั้นคอยไปส่งลูกศิษย์แต่เพียงอย่างเดียวเมื่อขึ้นฝั่งแล้วจบกัน โดยแทบที่จะไม่มีความผูกพันธ์กันแม้แต่เล็กน้อย แต่ความจริงแล้วครูไม่ใช่เรือจ้างเพราะครูนั้นมีความผูกพันธ์กันลูกศิษย์อย่างแนบแน่น มีความรัก ความเมตตา ปราถนาดี ต้องการให้ลูกศิษย์เป็นคนดี เป็นคนเก่ง และมีความสุข รวมทั้งสั่งสอนลูกศิษย์ ให้ความรู้และวิทยาการต่าง ๆ ถ่ายทอดประสบการณ์ซึ่งท่านได้รับ และให้ลูกศิษย์นำไปเป็นข้อคิดหรือนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันครูเป็นผู้ที่ให้คำชี้แนะให้คำแนะนำให้ คำปรึกษา สอนให้เราคิด สอนให้เราเขียนสอนให้เราแก้ปัญญาหาและสอนให้เรามีความขยันหมั่นเพียร พร้อมทั้งครูนั้นเป็นผู้ที่สร้างคนให้เป็นคนอย่างแท้จริง สร้างให้เป็นคนกล้าในทุก ๆ ด้าน สร้างคนให้เป็นคนเก่งและในยุคปัจจุบันนี้ ครูมีบทบาทหน้าที่ทุก ๆ ด้าน ซึ่งมิได้มีเพียงแต่การให้ความรู้ในบทเรียนเท่านั้น ครูยังให้ความรู้ในทุก ๆ ด้านรวมทั้งเป็นที่ปรึกษา ให้คำแนะนำต่าง ๆ 

การใช้เทคโนโลยีตามเศรษฐกิจพอเพียง

เรียงความการใช้เทคโนโลยีตามเศรษฐกิจพอเพียง


         เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตน ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชดำรัสแก่พสกนิกรชาวไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517  เพื่อเป็นแนวทางการแก้ไขเศรษฐกิจของไทย ให้ดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัฒน์และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ
         เทคโนโลยีโดยทั่วไปหมายถึง สิ่งที่มนุษย์พัฒนาขึ้น เพื่อช่วยในการทำงานหรือแก้ปัญหาต่างๆ เช่น อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร วัสดุหรือแม้กระทั่งที่ไม่ได้เป็นสิ่งของที่จับต้องได้ เช่น กระบวนการต่างๆ
         การใช้ไอทีตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงทำได้โดย
1.โทรศัพท์มือถือ
ไม่โหลดเพลงหรือบริการต่างๆที่ไม่จำเป็นมากเกินไป
ไม่ใช้โทรศัพท์คุยกันนานๆ เนื่องจากสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย
ไม่เล่นเกมในมากโทรศัพท์มือถือเกินไป
2.กล้องดิจิตอล
เลือกลบภาพถ่ายที่ไม่ต้องการก่อนทำการพิมพ์
เลือกถ่ายภาพที่คิดว่าอยากจะถ่ายจริงๆ
ไม่เลือกที่จะให้ร้านถ่ายรูปล้างรูปให้ โดยใช้เครื่องพรินเตอร์พิมพ์เอง
3.พรินเตอร์
เลือกที่จะตรวจสอบว่าพิมพ์ตัวอักษรถูกต้องหรือไม่ก่อนทำการพิมพ์
4.เครื่องแฟกซ์
ควรตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ให้ถูกต้องก่อนทำการส่งแฟกซ์
         การใช้เทคโนโลยีตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง คือ การใช้เทคโนโลยีไม่สิ้นเปลืองเกินความจำเป็น เพื่อให้สามารถรอดพ้นจากภัยและวิกฤต การขาดแคลนทรัพยากรทางธรรมชาติ







Teacher, Soldier, President: The Life of James Garfield


James Abram Garfield was born in a log cabin in Orange Township, Ohio on November 19, 1831.  He has Welsh ancestor, When James was 17 months old his father fight the fire that burn their house after the fire his father became sick and his father, Abram Garfield, died. He was raised with the efforts of his mother Eliza Ballou, uncle, and sisters.  While in Orange Township, Garfield attended Orange City Schools.  After that he went to work in canal boat. Then he went to study at the Western Reserve Eclectic Institute in Hiram, Ohio.  Then he went to study at Williams College located in Williamstown, Massachusetts. There he is a famous speaker and he love debating.  He was an outstanding well rounded student who graduated in 1856 and he also get to make the speech on graduation day. 
James Garfield spent a short time preaching at Franklin Circle Christian Church, and then he want to taught at Eclectic Institute.  He taught classical languages and was made the principal from 1857 until 1860.  He married Lucretia Rudolph in 1858, and they had seven children. His children name is Eliza Arabella Garfield, Harry Augustus Garfield, James Rudolph Garfield, Mary Garfield, Irvin M. Garfield, Abram Garfield, and Edward Garfield.  Garfield decided not to remain in academic life and ended up studying law.
During the Civil War Garfield enlisted in the Union Army and was appointed to command the 42nd Ohio Volunteer Infantry. Garfield led a successful battle at Jenny's Creek in 1862. Because of his victory he was promoted to Brigadier General and served under Gen. Buell at the Battle of Shiloh and latter the Siege of Corinth. Poor health caused him to return to inactive status until the spring of 1863, when he returned to battlefield action as Chief of Staff for General Williams S. Rosecrans commander of the Army of the Cumberland. During his return to the battlefield he ran for the Congress, on the urging of then President Lincoln. In 1863, while still actively fighting in the field he was elected to the US House of Representatives from Ohio. After 2 more battles he returned to Ohio and began his political career.
Garfield served in the United States House of Representatives.  He remained a Republican throughout his career. In January 1880, Garfield was elected to the U.S. Senate. And in May of that year he won the Republican nomination for president at the Chicago convention, and he defeated his Democratic opponent in the fall of that year.
Garfield was inaugurated as President of the United States on March 4, 1881. He led a strong assault on graft and exposed corruption along several mail routes. Garfield's Secretary of State also planned the first pan-American conference. On July 2, 1881, Garfield was shot by Charles J. Guiteau in a Washington railroad station.  One of the bullets hit the president's arm, but the other bullet was lodged into his spine and was unable to be found.  A metal detector was devised by Alexander Graham Bell to find the bullet, but it malfunctioned due to the metal bed Garfield was lying on.  Garfield became more ill over the next few weeks because of infection, and his heart became weakened.  He was bedridden and had extreme pains and fevers.  He was moved to the Jersey shore on September 6 with the hope that it would help him to aid his recovery. 
Garfield died on September 19, 1881. He died two months before his fifty birthdays and there had been eighty days between his shooting and his death. Guiteau was sentenced to death and was executed by being hung on June 30, 1882 in Washington, D.C. Garfield's assassination leads to the passage of the Pendleton Civil Service Reform Act on January 16, 1883.
There are many things which made James A. Garfield a very good leader. There are also many leadership principles that we can learn from James leadership. Garfield willing to stand up for the right things and he is not afraid to go against those who have power. Garfield's brief presidency proved effective and popular. He is a good leader because even after he died his work still continue and prosper. Also, his death motivates the reform of government. Many people think that if he stayed in office more he would help make a better country. Garfield is good leader he is a peaceful leader he also likes to make peace. For instance, when he was working in the canal and his canal boat crews want to fight with the crews of other canal boat Garfield refused to fight. Consequently his crews don’t like him and they think he is a coward but he doesn’t care. He also likes to make friend and make peace for his state. As a senator of Ohio, which during that time is a northern state, James invited the southern state such as Kentucky and Tennessee to come to meeting with the Ohio and he want them to be friend and make peace and prevent the Southern from succeeding. Also, he devote him self to work for the public when he was the Colonel he stay up and study hard to plan and fight he also be a good leader by making friend with his soldier. James cares about his soldier when he was in Kentucky and the soldier camp was flooded he went to look if any of his soldier need help. In his political career James is effective leader because he believed that leader must not ask to be leader but leader must be ask to lead. Thus, James never nominate himself or ask to be leader most of the time he was ask to run for the republican party. And this idea made him became one of the effective leaders. James A. Garfield also has another good leadership quality that is learn from mistake that he made, he loose his running to be general and that teach him and he learn not to make mistake again. This example taught us to learn from mistake that we made. Last, James learns to sympathize with the different opinion, even James stand against slavery but he did not support the idea of Civil War and he also doesn’t hate the southerner. We must learn from him and learn to look at our belief from different perspective. And we will be a good leader as James A. Garfield had been.
            There are many good example and mistakes to learn from the life of James A. Garfield. Many things in James Garfield life also influence me and other people. James A Garfield was born in a log cabin and he was not born a noble but he work hard and he work his way up to be the president of the United States; his life influence me and many people to work hard and his life also inspire us to work our way up in life and not to look at what we are. The life of James A. Garfield influenced me to work hard and it reminded me that if I work hard I could become successful like James Garfield. His life also influenced me to study hard. James Garfield loves to read and he loves to learn many things, he stayed up late studying many nights. This influenced me to study hard and it influenced me to sacrifice my time in studying.  His life also showed me that if I study hard I could achieve my goal. James Garfield stands up against powerful people and he did not scare of them. By looking at his life it influenced me to learn to stand up for what is right and it help me not to fear the crowd because I know that even if I was the only person who is doing the right thing and everyone else is doing the wrong thing, I still know that God is with me. The life and example of James A. Garfield has influenced me so much and I had learned many things from his life. I can learn to be a good leader by looking at his life.





นิทานเรื่องเด็กชายสามคน


มีเด็กวัยรุ่นอยู่สี่คนที่เป็นเพื่อนสนิทกันมากเเละทั้งสี่คนเป็นเด็กเลวมากวันหนึ่งเด็กในสี่คนนั้นที่ชื่อไมไมบอกลาเพื่อนเพื่อที่จะเดินทางไปเป็นโจรที่อีกเมืองหนึ่งเเต่ระหว่างทางคนนั้นได้ตาย พอเพื่อนอีกสามคนได้ข่าวก็โกรธมากเพื่อนที่ชื่อวีนจึงถามคนส่งข่าวว่าใครเป็นคนห่า คนส่งข่าวจึงตอบว่าความตาย พอเพื่อนทั้งสามได้ยินเลยออกไปเเละตามหาความตายเพื่อเเก้เเค้นระหว่างทางก็ได้ปล้นร้านค้าหลายเเห่ง เเละเพื่อนทั้งสามได้เห็นคนเเก่คนหนึ่ง หนึ่งในเพื่อนทั้งสามที่ชื่อโด้โด้ก็ถามคนเเก่นั้นว่า ทำไมเเกยังไม่ตายสักทีไอ้เเก่
ชายเเก่ก็ตอบว่าเพราะความตายยังไม่มาฆ่าฉัน โด้โด้ก็ถามคนเเก่ว่าอ่าวเเกรู้จักความตายด้วยหรอ ชายเเก่ก็ตอบว่าใช่ เเล้วโซ้โซ้เพื่อนอีกคนก็ถามว่าความตายอยู่ใหน ชายเเก่ก็ตอบเข้าไปในป่ามันอยู่ข้างต้นสนสีนํ้าเงินกลางป่า พอเพื่อนทั้งสามได้ยินก้รีบวิ่งเข้าไปพอไปถึงพวกเขาไม่เจอความตายเเต่กลับเจอทองคํา พอทั้งสามเจอทองคํา ก็ลืมเรื่องความตายไป เเล้วโด้โด้ก็ได้บอกเพื่อนว่าให้รีบเอาทองคําออกไป เเต่วินบอกว่าถ้าเอาออกไปตอนนี้ทุกคนต้องคิดว่าพวกเขาขโมยมาเเน่ๆให้เราเอาออกไปตอนกลางคืนดีกว่า
ระหว่างที่เพื่อนทั้งสามเฝ้าทองคําอยู่ เพื่อนทั้งสามก้อยากกินเหล้าวีนเลยเข้าไปซื้อเหล้าในเมือง ระหว่างที่วีนเข้าไปในเมือง โด้โด้ก้บอกโซโซ้ว่าพอวีนกลับมาให้เราฆ่าวีนเเล้วเเบ่งทองกันเเค่สองคน โซโซ้ตกลงเเต่ในใจโซโซ้คิดว่าหลังจากฆ่าวีนเเล้งจะฆ่าโด้โด้ด้วยจะได้ทองคําคนเดียว เเต่ระหว่างนั้นวีนก็คิดในใจว่าให้เราใส่ยาพิาลงใยเหล้าของโด้โด้กับโซโซ้เราจะได้ทองคําคนเดียวพอกลับมาวีนก็ให้เหล้าโด้โด้กับโซโซ้เเล้วพอวีนให้เหล้าโด้โด้กับโซโซ้ โด้โด้ก็เอามีดมาเเทงวีนตายเเล้วโซโซ้ก็เอาปืนมายิงโด้โด้ตายเเล้วด้วยความดีใจโซโซ้ก็เอาเหล้าขึ้นมากินเเล้วก็ตาย