Monday, July 11, 2011

ความสว่างของโลก

14 ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก
นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้
15 เมื่อจุดตะเกียงแล้ว ไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น
16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์" (มัทธิว 5:14-16)
 พระเยซูคริสต์ตรัสว่า พระองค์ทรงเป็นความสว่างของโลก
"อีกครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสกับ เขาทั้งหลายว่า 'เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต' " (ยอห์น 8:12)
และเมื่อพระองค์ตรัสประโยคนี้ แสดงว่าพระองค์กำลังทรงบ่งชี้ว่า โลกอยู่ในความมืด
นักปรัชญาจีนกล่าวไว้ว่า "ฟ้า คือความสว่าง" เมื่อกล่าวถึง "เทียน" ก็ กำลังกล่าวถึงผู้ยิ่งใหญ่บนฟ้า ดังที่เราจะได้ยินสำนวนจากหนังจีนเสมอว่า "ฟ้าลิขิต" "สวรรค์มีตา"
ปรากฎการณ์เมื่อมนุษย์ตกอยู่ในความมืด  ไม่เชื่อฟัง ก็ทำให้เกิด 4 อย่างตามมา  คือ
1. Ego
มนุษย์มีความเป็นตัวเองสูง คิดว่าตนยิ่งใหญ่ที่สุด และเมื่อมนุษย์มี ego ขึ้นมา ก็จะเกิดกำแพงระหว่างเขากับคนอื่น เขาจะไม่วางใจคนอื่น ความสัมพันธ์กับคนอื่นจะแย่ลง
คำว่า "หว่อ" แปลว่า "ฉัน" ภาษาจีนมาจากคำว่า "มือ" และ "หอก" นั่นคำ ๆ นี้มาจากรากศัพท์ว่า "มือถือ หอก"
พระเจ้ามิได้ทรงสร้างมนุษย์ ให้ถือหอก แต่ให้ถือจอกถือเสียม ทำสวนทำนา แต่เมื่อมนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ก็จะถือหอก เพื่อไว้ฆ่ากัน ประวัติศาสตร์จีนจึงมีแต่การแก้แค้น หนังจีนก็จะมีการแก้แค้นกันทุกเรื่องจุดยืนของเราตามพระคัมภีร์ ในการดำเนินชีวิตท่ามกลางการขัดแย้ง คือ ไม่ใช่ตามใจปรารถนาของเรา แต่เป็นตามพระประสงค์ของพระเจ้า
"แล้วเสด็จดำเนินไปอีกหน่อย หนึ่ง ก็ซบพระพักตร์ลงถึงดินอธิษฐานว่า 'โอพระบิดา ของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์' " (มัทธิว 26:39)
ทำไมมนุษย์จึงวุ่นวาย?
พระเจ้าไม่ได้ทรงสร้างโลกนี้ให้วุ่นวาย พระองค์ทรงสร้างอย่างมีระบบระเบียบ พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้อยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้า และทรงสร้างสรรพสิ่งให้อยู่ภายใต้การปกครองของมนุษย์
เมื่อมนุษย์ปกครองสรรพสิ่ง สรรพสิ่งก็ต่ำกว่ามนุษย์ ปกครองง่ายมาก เพราะพระเจ้าประทานสิทธิ์ให้แก่มนุษย์ในการปกครอง
แต่เมื่อไรที่มนุษย์จะต้องปกครองมนุษย์ด้วยกัน ก็เริ่มยากขึ้นมา เช่นการปกครองลูก เลี้ยงดูยาก  ชายปกครองหญิง หญิงควรยอมให้ชายปกครองไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นสามีหรือเป็นผู้ชาย แต่เป็นเพราะเขาเชื่อฟังพระเจ้า เขาจึงยอมเชื่อฟังสามี
เมื่อไรก็ตามที่มนุษย์อยาก ปกครองมนุษย์ด้วยกัน ไม่มีทางเกิดสันติสุข
พลาโต ได้กล่าวว่า การปกครองมีอยู่ 5 แบบ โดยเรียงลำดับจากดีที่สุดไปที่แย่ที่สุด และเขาก็ได้จัดให้ประชาธิปไตยอยู่ในอันดับที่ 4 จะ เห็นได้ว่าการปกครองแบบประชาธิปไตยนี้ ไม่ได้เป็นสิ่งที่พลาโตให้ความเชื่อถือ ทั้งนี้เพราะว่า ประชาธิปไตยจะเป็นอันดับ 1 ได้ก็เพียงเมื่อมนุษย์ทุกคนมีความรู้ และมีศีลธรรมที่ดีงาม ถ้าเป็นไม่ได้เช่นนี้ ประชาธิปไตยก็เป็นการปกครองที่แย่
แต่อันดับหนึ่งในความคิดของพลาโต คือ "ราชาธิปไตย" และกษัตริย์องค์นี้จะต้องมีคุณสมบัติ 2 อย่าง คือ เป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์ด้วยคุณธรรม และมีอายุยืนเป็นหมื่น ๆ ปี แต่กษัตริย์เช่นนี้ก็หาไม่ได้เช่นกันในโลกนี้
พระเจ้าทรงทราบปัญหานี้ของมนุษย์ จึงได้ทรงประทานพระเยซูคริสต์ เพื่อที่จะทรงเป็นกษัตริย์
"แต่ส่วนพระบุตรนั้น พระองค์ตรัสว่า พระเจ้าข้า พระที่นั่งของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์นิรันดร์ พระคทาแห่งแผ่นดินของพระองค์ก็เป็นพระคทาเที่ยงธรรม" (ฮีบรู 1:8)
"เราได้ตั้งกษัตริย์ของเราไว้ แล้ว บนศิโยน ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา" (สดุดี 2:6)
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นกษัตริย์ ที่ทรงครองราชย์ด้วยความชอบธรรม และทรงเป็นอยู่เป็นนิษย์
2. ศีลธรรมที่เสื่อมโทรม
มนุษย์มีศีลธรรมที่ตกต่ำ ซึ่งเห็นได้ชัดในสังคม
3. มนุษย์ไม่รู้ว่าอยู่ในโลกนี้เพื่ออะไร กำลังจะไปไหน
มนุษย์หลงทิศทาง ปัญหาของมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่ไม่มีเงินหรือไม่มีความสามารถ หรือไม่มีสติปัญญา แต่เขาไม่รู้ว่าสิ่งนั้นจะนำเขาไปถึงจุดไหน
4. มนุษย์ไม่มีความหวัง
ขงจื้อได้พูดประโยคหนึ่งว่า "ถ้า รู้ว่าตายแล้วไปไหน ถึงจะต้องตายวันนี้ก็จะยอม"
มนุษย์อยู่ในความมืด นี่แหละพระองค์จึงทรงต้องเข้ามาในโลก มิเช่นนั้นมนุษย์จะพินาศในบึงไฟนรก พระองค์เสด็จมาเพื่อที่จะทรงเป็นความสว่างของโลก
ประโยคสั้น ๆ ที่พระองค์ทรงอธิษฐานในเกเสมณี และที่พระองค์ได้ตรัสแก่สาวกของพระองค์ ทำให้เรารู้ว่าเราทำงานเช่นเดียวกันกับพระองค์ ทำอย่างที่พระองค์ทรงทำ
พระเยซูคริสต์ทรงอธิษฐานต่อพระบิดา ว่า
    "พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มาในโลกฉันใด ข้าพระองค์ก็ใช้เขาไปในโลกฉันนั้น" (ยอห์น 17:18)
พระองค์ตรัสกับเหล่าสาวก หลังจากที่ทรงเป็นขึ้นจากความตาย
    "พระเยซูตรัสกับเขาอีกว่า 'สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด พระบิดาทรงใช้เรามาฉันใด เราก็ใช้ท่านทั้งหลายไปฉันนั้น' " (ยอห์น  20:21)
หลายครั้งพระองค์ตรัสคำอุปมาว่า พระองค์ทรงเป็นบางสิ่ง เช่น ทรงเป็นประตู ทรงเป็นเถาองุ่น ทรงเป็นอาหารจากสวรรค์ เป็นทางนั้น เป็นความจริง เป็นชีวิต แต่พระองค์ไม่เคยตรัสแก่สาวกว่าให้สาวกเป็นสิ่งเหล่านี้
แต่ทรงตรัส ให้เราเป็นเหมือนพระองค์ คือ "ให้เราเป็นความสว่าง" พระองค์ทรงเป็นความสว่างของโลก และเราก็จะต้องเป็นความสว่างของโลกเช่นกัน
   
นครซึ่งตั้งบนภูเขาจะปิดปังไว้ก็ไม่ได้ เพราะว่าเมืองนั้นอยู่บนภูเขา ไม่มีทางที่จะปิดไว้ได้เลย
เราทั้งหลายเป็นความสว่าง พระองค์ทรงตั้งเราไว้ในจุดเด่น และไม่มีใครที่จะปิดได้ ความสว่างนี้ ความมืดมาปิดไว้ก็ไม่ได้ นอกจากเราปิดตัวเราเอง
วัตถุประสงค์ของการจุดตะเกียงก็เพื่อส่องสว่าง เช่นเดียวกัน วัตถุประสงค์ที่พระเจ้าส่องสว่างผ่านทางชีวิตเราในท่ามกลางความมืด ก็เพื่อให้เราเป็นความสว่าง
ในเวลานี้พวกเรา เป็นความสว่าง ความสว่างนี้มีโอกาสที่จะไม่ส่องได้ พระองค์จึงตรัสในประโยคต่อมาว่า อย่าเอาอะไรครอบไว้ ให้เราส่องสว่าง
ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องการส่องสว่าง เราจำเป็นที่จะต้องอ่านกลับไปอีกหนึ่งข้อ นั่นคือ เราจำเป็นต้องเป็นเกลือก่อน เราจึงจะส่องสว่างได้
   "ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ" (มัทธิว 5:13)
"เกลือ" คือ คุณภาพของชีวิต เป็นสิ่งที่เราเป็น (to be)
และ "แสง สว่าง" คือ สิ่งที่เราจะต้องทำ (to do)
ถ้าเราไม่เป็นเกลือ ชีวิตเราจะเป็นความสว่างไม่ได้
ปัจจัย 7 ประการที่ทำให้คริสเตียนไม่ส่องสว่าง
พระคริสตธรรมคัมภีร์ เป็นหนังสือที่สมบูรณ์จริง ๆ พระคัมภีร์ได้สอนแก่เราว่ามี 7 ประการ ที่จะทำให้คริสเตียนไม่ส่องสว่าง
1. กฎหมายของมนุษย์
หลายประเทศไม่ให้คริสเตียนประกาศข่าวประเสริฐ ถ้าคริสเตียนกลัวกฎหมายมนุษย์ ก็จะไม่ประกาศ และเป็นความสว่างไม่ได้
อาจารย์ท่านหนึ่ง เมื่อ 40-50 ปีที่ แล้วจะต้องไปเทศนาที่คริสตจักรแห่งหนึ่ง ซึ่งคริสตจักรแห่งนี้ไม่ได้บอกหัวข้อ บอกว่าให้เป็นตามพระวิญญาณทรงนำ แต่เมื่อถึงวันเทศนา ทางคริสตจักรก็กระซิบบอกว่า "อาจารย์ จะเทศนาเรื่องอะไรก็ได้ แต่อย่าเทศน์เรื่องความบาป โดยเฉพาะเรื่องการกินเหล้า เพราะผู้ปกครองหลายคนดื่มเบียร์ และเรื่องการเล่นหวย เพราะสมาชิกหลายคนเล่นอยู่"
ถ้ากลัวมนุษย์ กลัวผู้อื่นเยาะเย้ย ชีวิตของเราก็จะเป็นความสว่างไม่ได้
   "ฝ่ายเปโตรกับยอห์นตอบเขาว่า 'จำเพาะพระพักตร์พระเจ้าข้าพเจ้าควรจะเชื่อฟังท่าน หรือควรจะเชื่อฟังพระเจ้า ขอท่านทั้งหลายพิจารณาดู' " (กิจการ 4:19)
การเป็นคริสเตียน อาจดูเป็นเรื่องยาก เพราะเราเป็นหนึ่งคน แต่มี 2 กฎ
คนในโลกนี้ รักษาเพียงแค่กฎหมายในโลกนี้ก็พอ แต่คริสเตียนจำ เป็นต้องรักษากฎหมายของโลก และกฎหมายของสวรรค์ ถ้ากฎทั้งสองไปด้วยกันได้ ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าขัดกัน เราก็จะต้องเลือก
 2. เราเป็นชนกลุ่ม น้อยในโลกนี้
ท้องฟ้าในเวลากลางคืน ดาวกับพื้นฟ้าอะไรมีพื้นที่มากกว่ากัน? พื้น ฟ้าสีดำมีมากกว่า แต่ดาวที่แม้จะมีแสงริบหรี่ ก็ปรากฎให้เห็นได้ชัดเจน และดวงดาวเล็กที่ส่องสว่าง ก็ดีกว่าดาวใหญ่ที่ไม่ส่องสว่าง
ถ้าเราอยู่เป็นคนหมู่น้อย เราก็ทำอะไรบางสิ่งไม่ได้ แต่อาจารย์เปาโลได้หนุนใจว่า อย่าละอายที่จะเป็นพยานต่อคนหมู่มาก เพียงแต่ควรที่จะกระทำอย่างรู้จักกาลเทศะ
 3. มีถังครอบไว้
    "เมื่อจุด ตะเกียงแล้ว ไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น" (มัทธิว 5:15)
คำว่า "ถัง" โดยทั่วไปในภาษาจีนจะใช้คำว่า "ถง" แต่พระคัมภีร์ตอนนี้ไม่ได้ใช้คำนี้ กลับใช้คำว่า "ต๊ก" คือ ถังตวงที่ใช้ตวงข้าว ตวงหลายสิ่งหลายอย่าง ที่เกี่ยวข้องกับการค้า
คนไทยเมื่อไม่มีเงิน ก็จะใช้คำว่า "ถังแตก" ก็คือถังนี้นี่เอง
ดังนั้น คำว่า "ถัง" ในพระ คัมภีร์ตอนนี้ คือ ถังที่เกี่ยวข้องกับการค้า
หลายครั้งพอธุรกิจการค้าเป็นไปได้ดี ก็จะไม่อธิษฐาน ไม่มาโบสถ์ แต่ไปทำการค้าแทน
ในมัทธิว 13 คำอุปมาของพระเยซูคริสต์ที่ตรัสเกี่ยวกับการหว่านเมล็ดพืชนั้น เมล็ดบางเมล็ดตกอยู่กลางหนาม นั่นคือ ความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ  อันเป็นผลให้พระวจนะก็ไม่เกิดผลในชีวิตของเขา
"และพืชซึ่ง หว่านกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ แล้วความกังวลตามธรรมดาโลก และความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติรัดพระวจนะนั้นเสีย จึงไม่เกิดผล" (มัทธิว 13:22)
ถ้าเดือนหนึ่งพระเจ้าให้เราได้กำไรสิบบาท ก็คงจะถวายสิบลดได้ง่ายมาก เมื่อพระเจ้าอวยพรให้ได้มากขึ้นเป็นร้อยบาท พันบาท เป็นหมื่น ก็ยังถวายสิบลดได้ไม่ยาก   แต่เมื่อพระองค์ทรงอวยพรให้มีกำไรได้เดือนละล้าน ก็จะเริ่มควักเงินยากขึ้น แต่ถ้ายากเช่นนี้ พระเจ้าก็จะให้เราได้กำไรสิบบาทเช่นเดิม
คนของพระเจ้า ยิ่งมีทรัพย์สมบัติมากก็จะยิ่งถ่อมใจมาก
พระเจ้าให้สติปัญญา ให้ความสามารถแก่เราในการทำงาน พระองค์ประทานสิ่งเหล่านี้แก่เราเพื่ออะไร? ในวันหนึ่ง ทุกอย่างจะต้องถูกเผาไฟ ขอที่เราจะใช้ทุกสิ่งที่เรามีในงานของพระเจ้า เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า
4. อยู่ในที่กำบัง
    "ไม่มีผู้ใดเมื่อ จุดตะเกียงแล้วจะตั้งไว้ในที่กำบัง หรือเอาถังครอบไว้ แต่ตั้งไว้บนเชิงตะเกียง เพื่อคนทั้งหลายที่เข้ามาจะเห็นแสงสว่างได้" (ลูกา 11:33)
"ที่กำลัง" ภาษา จีนใช้คำว่า "ตี้อิ้น" แปลว่า ใต้ดิน อุโมงค์ ที่ลับ
ดังนั้น การที่คนหนึ่งมีที่กำบังนี้ หมายถึงว่า เขามีสิ่งที่อยู่ในที่ลับ ๆ มืด ๆ นั่นคือความบาปที่เกาะอยู่แน่น สิ่งเหล่านี้ทำให้ชีวิตเขาไม่สามารถเป็นความสว่างได้
    "เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงตรัสว่า 'ถ้าเจ้ากลับมา เราจะให้เจ้ากลับสู่สภาพดี และเจ้าจะยืนอยู่ต่อหน้าเรา ถ้าเจ้าออกปากพูดแต่สิ่งประเสริฐและไม่พูดสิ่งเลวทราม เจ้าจะเป็นเหมือนปากของเรา เขาทั้งหลายจะหันกลับมา หาเจ้า แต่เจ้าอย่าหันไปหาเขา' " (เยเรมีย์ 15:19)
ถ้าเราเป็นความ สว่าง คนไม่เชื่อพระเจ้าก็จะเดินมาหาเรา แต่ถ้าความสว่างของเรามืด เราจะต้องเดินไปหาเขา
ถ้าเราอยู่ ในอุโมงค์ที่มืด มองไม่เห็นทาง และกำลังหาทางออก เมื่อเห็นสว่างโผล่ออกมา ก็ย่อมที่จะเดินไปหาความสว่างนั้น เพราะนี่เป็นทางออกของเรา เช่นเดียวกัน ถ้าเราเป็นความสว่าง เราจะเป็นทางออกของคนที่อยู่ในที่มืด
5. ตะเกียงอยู่ใต้เตียง
    "ไม่มีผู้ ใดเมื่อจุดตะเกียงแล้วจะเอาภาชนะครอบไว้ หรือวางไว้ใต้เตียง แต่ ตั้งไว้ที่เชิงตะเกียง เพื่อคนทั้งหลายที่เข้ามา จะเห็นแสงสว่างได้" (ลูกา 8:16)
มีหนังเรื่องหนึ่ง พระเอกต้องหาไข่มุกสามเม็ด ซึ่งทั้งสามเม็ดอยู่คนละที่ เพื่อช่วยแม่จากนรก
ไข่มุกเม็ดแรก อยู่กับเมดูซ่า มีงูมากมาย อันตรายมาก แต่เขาก็นำมาได้ และเม็ดที่สอง อยู่กับมังกรเจ็ดหัว
แต่ไข่มุกเม็ดที่สาม อยู่ในลาสเวกัส ซึ่งเขามีเวลาอีก 5 วันที่จะช่วยแม่ได้ พอไปถึงลาสเว กัส ก็มีคนเอาขนมมาให้ มีความสุขสำราญ สุขสบาย จนหลับไป แต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็ตกใจ และคิดได้ว่าเขามาเพื่อหาไข่มุก ไม่ใช่เพื่อหาความสุขสบาย เขานึกว่ายังมีเวลาอีก 5 วัน แต่เมื่อเขาได้ดูเวลา ปรากฎว่าเหลือเวลาอีกเพียงแค่ 5 ชั่วโมงเท่านั้น เขาหลงไปกับแสงสีเสียงจนลืมทำภาระกิจ "เตียง" คือ "ความสบาย"
ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของคริสเตียนไม่ใช่ ความยากลำบาก แต่เป็นความสบาย ขอให้เราระวัง เพื่อที่จะไม่ต้องตื่นมาอีกทีเมื่ออายุได้ 80 ปี และคิดได้ว่า เรามาอยู่ในโลกนี้ไม่ใช่เพื่อความสบาย แต่เพื่อเป็นความสว่าง
6. เลือกส่องสว่าง กับคนบางคน
    "43 ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า จงรักคนสนิท และเกลียดชังศัตรู
    44 ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน
    45 ทำดังนี้แล้วท่านทั้ง หลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตก แก่คนชอบธรรมและคนอธรรม
    46 แม้ว่าท่านรักผู้ที่รักท่าน จะได้บำเหน็จอะไร ถึงพวกเก็บภาษีก็ยังกระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ" (มัทธิว 5:43-46)
เราจะต้องส่องสว่างกับทุกคน แม้กับคนที่เราไม่ชอบ
พระเจ้าทรงให้แสงแดด ให้ฝนต่อทุกคนเท่ากัน
ถ้าเราส่องสว่างให้เฉพาะคนที่เราชอบ เราก็ไม่แตกต่างจากคนอื่น ๆ
7. ไม่ได้ให้งานของพระเจ้าเป็นอันดับ หนึ่ง
    "เราต้องกระทำพระ ราชกิจของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาเมื่อยังวันอยู่ เมื่อถึงกลางคืนไม่มีผู้ใดทำงานได้" (ยอห์น 9:4) ความหมายของพระองค์ คือ ให้ เรารีบฉวยโอกาส เพื่อเป็นความสว่าง เพราะถ้าหมดโอกาสแล้ว จะเป็นความสว่างก็ไม่ได้แล้วพระคุณของพระเจ้าไม่มีวันสิ้นสุด แต่โอกาสที่จะรับใช้พระองค์บนโลกมีวันสิ้นสุด

วัตถุประสงค์ของการส่องสว่าง
    "ท่านทั้งหลายก็เหมือน กับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์" (มัทธิว 5:16)
ความดีที่เราต้องทำ นั่นคือ สิ่งที่พระเยซูคริสต์ตรัสสอนในคำเทศนาบนภูเขา ซึ่งปรากฎใน มัทธิว 5:17 จนจบบทที่ 7 ถ้าเราทำดี เมื่อคนเห็นความสว่างของเรา คนก็จะสรรเสริญพระบิดาบนสวรรค์คนเหล่านั้นที่เป็นความสว่าง เมื่อทำดี คนจะไม่ชมเขา แต่ชมพระเจ้า
ขอปิดท้ายด้วยพระธรรม เอเฟซัส 2:8-9
   "8 ด้วยว่าซึ่ง ท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้
    9 ความ รอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้" (เอเฟซัส 2:8-9)และอยากให้เราอ่านต่อในข้อต่อไป
    "เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ประกอบการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เรากระทำ" (เอเฟซัส 2:10) ความดีเป็นหน้าที่ที่ คริสเตียนจะต้องทำ เราจึงไม่สามารถอวดได้ เรามิได้ทำดีเพื่อได้รับความ รอด แต่เพราะรอดแล้วจึงตอบสนองด้วยการทำดี



No comments:

Post a Comment